โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) คือหนึ่งในโรคติดต่อทางเลือดและสารคัดหลั่งที่ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยเอง ที่ยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีคนไทยประมาณ ร้อยละ 3 ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว เพราะระยะเริ่มต้นของโรคมักไม่แสดงอาการชัดเจน จนกว่าจะเข้าสู่ระยะเรื้อรังที่ตับเริ่มถูกทำลาย
ความน่ากลัวของไวรัสชนิดนี้คือ การลุกลามอย่างเงียบ ๆ ที่อาจนำไปสู่โรคตับแข็งหรือมะเร็งตับในระยะยาว แต่ข่าวดีคือ โรคไวรัสตับอักเสบบีสามารถ “ป้องกันได้” และ “ตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ” หากทุกคนตระหนักและใส่ใจสุขภาพของตนเอง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักโรคไวรัสตับอักเสบบีให้มากขึ้น พร้อมแนวทางป้องกันที่คุณสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
สาเหตุของ โรคไวรัสตับอักเสบบี เข้าใจให้ลึก เพื่อป้องกันได้ถูกทาง
โรคไวรัสตับอักเสบบีเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Hepatitis B Virus (HBV) ซึ่งมีความสามารถในการอยู่รอดในเลือดและของเหลวในร่างกายได้เป็นเวลานาน จึงสามารถแพร่กระจายได้ง่ายหากมีการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโดยตรง โดย เส้นทางการติดต่อหลัก มีดังนี้:
- การติดต่อผ่านทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เข็มสัก เข็มเจาะหู หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธี
- การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก ระหว่างการคลอด หากมารดามีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย เด็กทารกสามารถได้รับเชื้อตั้งแต่แรกเกิด และกลายเป็นพาหะเรื้อรังในระยะยาว
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เนื่องจากเชื้อสามารถอยู่ในน้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด หรือเลือดจากบาดแผลเล็ก ๆ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้หากไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย
สิ่งที่ทำให้โรคนี้น่ากลัวคือ ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่รู้ตัว เพราะในช่วงแรกของการติดเชื้อมักไม่มีอาการ หรือมีเพียงอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ หรือปวดเมื่อย ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นไข้ทั่วไป เมื่อไม่ได้รับการตรวจเลือดยืนยัน จึงไม่รู้ว่าตนเองเป็นพาหะและสามารถแพร่เชื้อต่อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายได้รับการรักษาโรคอื่นด้วยยาในกลุ่ม สเตียรอยด์ (Steroid) ซึ่งมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายอ่อนแอหรือหยุดยาอย่างกะทันหัน เชื้อไวรัสตับอักเสบบีอาจ “ตื่นขึ้น” และทำให้เกิดการอักเสบของตับอย่างรุนแรงขึ้นได้
ที่สำคัญคือ ควรเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไวรัสตับอักเสบบีไม่ติดต่อผ่านน้ำลาย การจูบ หรือการกินอาหารร่วมกัน เพราะเชื้อไวรัสไม่สามารถแพร่ผ่านน้ำลายได้ในปริมาณที่มากพอจะทำให้เกิดการติดเชื้อ ดังนั้น การใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น การกินข้าว พูดคุย หรือทำงานด้วยกัน ไม่ทำให้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี การรู้เท่าทันเส้นทางการติดต่อและข้อเท็จจริงเหล่านี้ จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งสำหรับตนเองและคนรอบข้าง

อาการของ โรคไวรัสตับอักเสบบี สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
ไวรัสตับอักเสบบีมักมีลักษณะเฉพาะที่ซับซ้อน เพราะในระยะเริ่มต้นของโรค ผู้ติดเชื้อจำนวนมากอาจไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีไวรัสอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะในกลุ่มที่ติดเชื้อแบบเรื้อรัง ซึ่งไวรัสจะค่อย ๆ ทำลายเซลล์ตับอย่างช้า ๆ เป็นเวลาหลายปี จนกว่าจะเกิดอาการที่สังเกตได้ชัดเจน เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง หรืออาการของตับวายระยะเริ่มต้น
ในกรณีของการติดเชื้อ แบบเฉียบพลัน (Acute Hepatitis B) อาการมักเกิดขึ้นหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1–4 เดือน และในหลายกรณี ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เองหากร่างกายมีภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่หากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อออกได้หมด เชื้อไวรัสจะคงอยู่ในตับและเปลี่ยนเป็น การติดเชื้อแบบเรื้อรัง (Chronic Hepatitis B) ซึ่งอาจดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ จนกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับในที่สุด
ตารางด้านล่างแสดง ความแตกต่างระหว่างอาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง เพื่อให้เข้าใจภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น:
| ลักษณะ | ระยะเฉียบพลัน (Acute) | ระยะเรื้อรัง (Chronic) |
|---|---|---|
| ระยะเวลาเกิดอาการ | ภายใน 1–4 เดือนหลังได้รับเชื้อ | ดำเนินโรคเกิน 6 เดือนขึ้นไป |
| อาการที่พบได้บ่อย | – ตาเหลือง ตัวเหลือง – ปัสสาวะเข้ม – คลื่นไส้ อาเจียน – เบื่ออาหาร – อ่อนเพลีย |
– มักไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก – อาจมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง – เมื่อโรคลุกลามจะเริ่มตาเหลือง ตัวเหลือง – มีภาวะท้องมาน ขาบวม |
| ผลต่อสุขภาพตับ | ส่วนใหญ่ตับสามารถฟื้นตัวได้ | ตับถูกทำลายเรื่อย ๆ เสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับ |
| โอกาสหายขาดจากเชื้อ | สูง โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันดี | ต่ำ เชื้อมักคงอยู่ในร่างกาย ต้องติดตามรักษาตลอดชีวิต |
| แนวทางการรักษา | รักษาตามอาการและพักผ่อนให้เพียงพอ | ใช้ยาต้านไวรัส ควบคุมปริมาณเชื้อและ ติดตามการทำงานของตับอย่างสม่ำเสมอ |
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังอาจไม่มีอาการใด ๆ เป็นเวลาหลายปี แต่ในขณะที่เชื้อไวรัสยังคงอยู่ในร่างกาย มันจะค่อย ๆ ทำลายเซลล์ตับและส่งผลให้เกิดพังผืด (Fibrosis) จนกลายเป็นตับแข็ง (Cirrhosis) และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma) ได้ในที่สุด ดังนั้น การตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้โรคไวรัสตับอักเสบบีลุกลามจนสายเกินไป

วิธีการรักษา โรคไวรัสตับอักเสบบี
ปัจจุบันการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีมีความก้าวหน้าไปมาก สามารถช่วยลดการทำลายของตับและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าโรคนี้ยังไม่สามารถ “รักษาให้หายขาด” ได้ในผู้ป่วยเรื้อรัง แต่การรักษาที่เหมาะสมและต่อเนื่องสามารถควบคุมเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำจนไม่ก่ออันตรายต่อสุขภาพได้ โดยแนวทางการรักษาหลักแบ่งออกเป็น 2 วิธีสำคัญ ได้แก่
1. การฉีดยาเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
การรักษาด้วยการฉีดยามักใช้ ยากลุ่มอินเตอร์เฟอรอน (Interferon-alpha หรือ Pegylated Interferon) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถควบคุมและกำจัดเชื้อไวรัสได้บางส่วน
- ยาจะฉีด เข้าใต้ผิวหนังสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
- ระยะเวลาในการรักษาโดยทั่วไปประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกาย
- ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร หรืออารมณ์ซึมเศร้า ซึ่งแพทย์จะประเมินและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ข้อดีของการฉีดยาอินเตอร์เฟอรอน คือมีโอกาสควบคุมไวรัสให้หายจากร่างกายได้สูงกว่าการใช้ยาทานในบางราย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงและไวรัสยังไม่ดื้อยา แต่ข้อจำกัดคือผลข้างเคียงค่อนข้างมากและต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด
2. การรับประทานยาเพื่อยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส
อีกแนวทางหนึ่งคือการใช้ ยาต้านไวรัส (Antiviral drugs) ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนในร่างกาย และช่วยลดความเสียหายของตับในระยะยาว โดยยาที่ใช้บ่อย ได้แก่
- Tenofovir disoproxil fumarate (TDF)
- Tenofovir alafenamide (TAF)
- Entecavir (ETV)
ยากลุ่มนี้ต้องรับประทาน ทุกวันอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง เพราะหากหยุดยาเอง เชื้อไวรัสอาจกลับมาเพิ่มจำนวนและทำให้ตับอักเสบเฉียบพลันได้
ข้อดีของยาต้านไวรัสแบบรับประทาน คือมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการฉีดยา ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เพียงต้องตรวจเลือดติดตามค่าการทำงานของตับและปริมาณไวรัส (HBV DNA) อย่างสม่ำเสมอ
| วิธีการรักษา | ลักษณะการใช้ | ระยะเวลา | ข้อดี | ข้อควรระวัง |
|---|---|---|---|---|
| ฉีดยาอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) | ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง | 6 เดือน – 1 ปี | มีโอกาสควบคุมเชื้อได้ในบางรายโดยไม่ต้องใช้ยาตลอดชีวิต | ผลข้างเคียงมาก ต้องติดตามอาการใกล้ชิด |
| ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน (TDF, TAF, ETV) | ทานทุกวันตามแพทย์สั่ง | ต่อเนื่องระยะยาว | ปลอดภัยกว่า ผลข้างเคียงน้อย ควบคุมโรคได้ดี | หากหยุดยาเอง เชื้อไวรัสอาจกลับมารุนแรงขึ้น |
นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบียังควรปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วย เช่น งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาสมุนไพรหรือยาที่มีผลต่อตับโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และตรวจสุขภาพประจำปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการทำงานของตับและความคืบหน้าของการรักษาอย่างใกล้ชิด การรักษาที่ถูกวิธี ควบคู่กับการดูแลสุขภาพที่ดี จะช่วยให้ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ยืนยาวและปลอดภัยได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
แม้ว่าไวรัสตับอักเสบบีจะเป็นโรคที่มีความรุนแรงและอาจลุกลามจนกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับในอนาคต แต่ปัจจุบัน “การป้องกัน” ยังถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุดในการดูแลสุขภาพของตับคุณ เพราะสามารถลดโอกาสติดเชื้อได้เกือบทั้งหมดหากปฏิบัติอย่างถูกวิธี
1. ตรวจสุขภาพและคัดกรองเชื้อไวรัสเป็นประจำ
การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) และตรวจภูมิคุ้มกัน (Anti-HBs) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ช่วยให้รู้สถานะสุขภาพของตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ หากพบว่ามีเชื้อจะได้เข้าสู่การรักษาโดยเร็ว และหากยังไม่เคยติดเชื้อก็สามารถวางแผนฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันได้ทันเวลา
2. ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีให้ครบ
วัคซีนเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยฉีดทั้งหมด 3 เข็ม คือ เข็มที่ 1–2 ห่างกัน 1 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน สำหรับเด็กแรกเกิดในประเทศไทยจะได้รับฟรีอยู่แล้ว ส่วนผู้ใหญ่ที่ไม่แน่ใจว่ามีภูมิคุ้มกันหรือไม่ ควรตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนเพื่อดูระดับภูมิในร่างกาย
3. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยทุกครั้ง
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถแพร่ผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้นการใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถือเป็นการป้องกันขั้นพื้นฐานที่สำคัญ นอกจากนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือคู่ของตนมีเชื้อ ควรพิจารณาใช้ ยาเพร็พ (PrEP) ควบคู่เพื่อเพิ่มการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง
4. หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น
เชื้อไวรัสสามารถติดต่อผ่านเลือดได้ จึงไม่ควรใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น มีดโกน เข็มฉีดยา เข็มเจาะหู หรืออุปกรณ์ทำเล็บที่ไม่ได้ฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธี หากจำเป็นต้องเข้ารับบริการในร้านเสริมสวย ควรเลือกร้านที่ได้มาตรฐานและใช้อุปกรณ์สะอาดทุกครั้ง
5. เลือกรับบริการร้านสัก/เจาะที่ได้มาตรฐาน
ก่อนเข้ารับบริการใด ๆ ที่มีการเจาะหรือสัมผัสเลือด เช่น การสัก การฝังเข็ม หรือการเจาะหู ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ผ่านการฆ่าเชื้อและใช้แบบครั้งเดียวทิ้ง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
6. ติดตามและรักษาอย่างต่อเนื่องหากพบการติดเชื้อ
หากตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพราะการควบคุมโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะตับแข็งและมะเร็งตับได้มาก รวมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว
อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบทำลายตับ อาการ สาเหตุ การรักษา การป้องกัน
- ความสำคัญของการศึกษาและการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษา “ไวรัสตับอักเสบบี”
▶︎ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อแบบเรื้อรัง แต่สามารถควบคุมเชื้อไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำได้ด้วยการใช้ยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตับไม่ถูกทำลายเพิ่ม และลดโอกาสเกิดโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับในอนาคตได้
▶︎ ขึ้นอยู่กับระดับไวรัสและสภาพของตับ ผู้ป่วยบางรายอาจต้อง ใช้ยาต้านไวรัสต่อเนื่องเป็นระยะยาวหรือตลอดชีวิต เพื่อควบคุมเชื้อให้อยู่ในระดับปลอดภัย แพทย์จะเป็นผู้ประเมินเป็นรายบุคคลจากผลตรวจเลือดและค่าการทำงานของตับ
▶︎ ยาฉีดมักเป็น อินเตอร์เฟอรอน (Interferon) ซึ่งช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อไวรัส ส่วนยารับประทาน เช่น Tenofovir (TDF, TAF) หรือ Entecavir (ETV) มีหน้าที่ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ทั้งสองแบบมีจุดประสงค์ต่างกัน — แพทย์จะเลือกให้ตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคน
▶︎ ไม่ควรหยุดยาเองโดยเด็ดขาด! เพราะเมื่อหยุดยาอย่างกะทันหัน ปริมาณไวรัสอาจกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลันหรือตับวายได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนปรับหรือลดขนาดยาทุกครั้ง
▶︎ มีบ้างแต่แตกต่างกันในแต่ละวิธี เช่น
- การฉีดยาอินเตอร์เฟอรอน อาจทำให้มีไข้ ปวดเมื่อย หรืออารมณ์ซึมเศร้า
- ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน อาจมีผลต่อไตหรือกระดูกในระยะยาว ซึ่งแพทย์จะติดตามผลเลือดเป็นระยะเพื่อความปลอดภัย
▶︎ หากปริมาณไวรัสในเลือดยังสูง ผู้ป่วยยังคง สามารถแพร่เชื้อได้ แม้ไม่มีอาการใด ๆ ดังนั้น ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น และให้สมาชิกในครอบครัวเข้ารับการตรวจและฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
สรุป: ป้องกันและดูแลไวรัสตับอักเสบบีได้ ก่อนสายเกินไป
โรคไวรัสตับอักเสบบีเป็นภัยเงียบที่อาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่สามารถส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพตับในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ การรู้เท่าทันโรคนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ทั้งในด้านการป้องกัน การตรวจคัดกรอง และการรักษาอย่างถูกวิธี
ปัจจุบันเรามีทั้ง วัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง และ แนวทางการรักษาที่ช่วยควบคุมเชื้อได้ดี หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมาก ที่สำคัญคือการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง—ตรวจเลือดเป็นประจำ ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และหลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น
อย่ารอจนตับเริ่มส่งสัญญาณเตือน เพราะเมื่อถึงเวลานั้นอาจสายเกินไปที่จะย้อนกลับ การป้องกันตั้งแต่วันนี้ด้วยการตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีน คือทางเลือกที่ดีที่สุดในการรักษาตับของคุณให้แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีไปได้อีกยาวนาน
อ้างอิงข้อมูลจาก:
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไวรัสตับอักเสบบี
โรคตับอักเสบบี เป็นเรื่องของทุกคนในครอบครัว
ไวรัสตับอักเสบบี ตัวการเสี่ยงก่อโรคมะเร็ง รู้ทันรักษาได้

