Antiretroviral therapy (ART) is the cornerstone of HIV treatment today. Beyond suppressing the virus from multiplying in the body, ART helps people living with HIV stay healthy and continuously improve their quality of life. Starting antiretroviral medication as soon as possible after diagnosis is strongly recommended by clinicians—not only to protect the health of the person diagnosed but also to reduce the chance of transmitting HIV to others. That said, even though modern ART is far more effective and safer than older regimens, ART side effects can still occur in some individuals and vary by drug and by person. Understanding these potential effects—and how to respond—helps you care for yourself correctly, avoid stopping medication on your own, and manage any unwanted symptoms with confidence. In this article, we clarify common side effects of HIV Antiretrovirals and share practical ways to cope and self-care, so everyone on treatment can live confidently and stay healthy for the long term.
List of Contents
What Are HIV Antiretroviral Drugs?
Antiretroviral drugs work by blocking stages of the HIV lifecycle, preventing the virus from destroying CD4 (T-helper) cells. When taken every day as prescribed, viral load falls to undetectable levels—known as “U=U” (Undetectable = Untransmittable)—which means a person does not sexually transmit HIV while undetectable. ART does not eradicate the virus, but it controls HIV so people can live normal, healthy lives and prevent long-term complications.
How Many Classes of HIV Antiretrovirals Are There?
Today’s antiretroviral drugs (ARVs) target HIV at multiple steps. Guidance from 2024–2025 emphasizes safer, longer-acting options with fewer side effects than in the past. Current ARVs commonly used in care can be grouped into six major classes:
1. Nucleoside/Nucleotide Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs)
กลุ่มยาที่เป็นพื้นฐานของเกือบทุกสูตรยา ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง DNA ของไวรัสในขั้นตอนแรกของการจำลองตัว ทำให้เชื้อเอชไอวีไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้
ตัวอย่างยาที่ใช้บ่อยในปัจจุบัน:
- Tenofovir disoproxil fumarate (TDF)
- Tenofovir alafenamide (TAF)
- Emtricitabine (FTC)
- Lamivudine (3TC)
- Abacavir (ABC) (ใช้เฉพาะผู้ที่ตรวจ HLA-B57:01 แล้วไม่พบยีนแพ้ยา)*
หมายเหตุ: ยารุ่นเก่าอย่าง Didanosine (ddI), Stavudine (d4T), Zidovudine (AZT) และ Zalcitabine (ddC) ไม่ค่อยใช้แล้วในปัจจุบัน เนื่องจากผลข้างเคียงสูง
2. Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs)
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ที่เอนไซม์ตัวเดียวกับ NRTIs แต่ทำงานคนละตำแหน่ง เพื่อยับยั้งไม่ให้ไวรัสคัดลอก RNA เป็น DNA
ตัวอย่างยาที่นิยมใช้:
- Doravirine (DOR) – ยารุ่นใหม่ที่ผลข้างเคียงต่ำ
- Rilpivirine (RPV) – ใช้ได้ดีในผู้ที่มีระดับไวรัสต่ำ (VL < 100,000 copies/mL)
ยารุ่นเก่าอย่าง Efavirenz (EFV), Nevirapine (NVP), Delavirdine (DLV) และ Etravirine (ETR) ถูกลดบทบาทลงเนื่องจากผลข้างเคียงทางระบบประสาทและตับ
3. Protease Inhibitors (PIs)
ยากลุ่มนี้ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสที่ไวรัสใช้สร้างโปรตีนใหม่ ทำให้ไวรัสที่ถูกสร้างขึ้นไม่สมบูรณ์และไม่สามารถติดเชื้อได้
ตัวอย่างยาที่ใช้ในปัจจุบัน:
- Darunavir/ritonavir (DRV/r) หรือ Darunavir/cobicistat (DRV/c)
- Atazanavir/cobicistat (ATV/c) (ใช้ในบางกรณี)
ปัจจุบันยากลุ่มนี้มักใช้ในผู้ที่มีภาวะดื้อยา หรือเมื่อไม่สามารถใช้สูตรที่มี Integrase inhibitor ได้
4. Integrase Strand Transfer Inhibitors (INSTIs)
เป็นกลุ่มยาที่ “ทันสมัยที่สุด” และใช้เป็น สูตรหลักในการรักษาปัจจุบัน เพราะมีประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงต่ำ และเชื้อดื้อยาช้า ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Integrase ซึ่งไวรัสใช้ในการนำ DNA ของตนไปผสานกับ DNA ของมนุษย์
ตัวอย่างยาที่ใช้บ่อย:
- Bictegravir (BIC)
- Dolutegravir (DTG)
- Raltegravir (RAL)
- (Elvitegravir (EVG) ยังมีใช้ในบางสูตรผสม แต่ไม่ใช่ตัวเลือกหลักแล้ว)
5. Entry/Fusion/Attachment Inhibitors
เป็นยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ “ก่อนไวรัสเข้าสู่เซลล์มนุษย์” ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อสามารถเกาะและหลอมรวมกับผนังเซลล์ได้
ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้:
- Maraviroc (MVC) – ต้านตัวรับ CCR5 ที่ไวรัสใช้ในการเข้าสู่เซลล์
- Enfuvirtide (ENF/T-20) – ยาฉีดที่ยับยั้งการหลอมรวมของไวรัสกับเซลล์
- Fostemsavir (FTR) – ยากลุ่ม attachment inhibitor สำหรับผู้ดื้อยาหลายกลุ่ม
- Ibalizumab (IBA) – ยาฉีดชนิดโมโนโคลนอลแอนติบอดี (ใช้ในรายที่รักษายาก)
6. Capsid Inhibitor (ยาออกฤทธิ์ยาวรุ่นใหม่)
เป็นกลุ่มยานวัตกรรมล่าสุดที่ออกฤทธิ์ต่อ “เปลือกหุ้มไวรัส (capsid)” ทำให้ไวรัสไม่สามารถจำลองตัวได้ ตัวแทนยากลุ่มนี้คือ Lenacapavir (LNP) ซึ่งสามารถ ฉีดเพียงปีละ 2 ครั้ง (ทุก 6 เดือน)
จุดเด่นของ Lenacapavir:
- ใช้รักษาผู้ติดเชื้อที่ดื้อยาหลายกลุ่ม
- ในปี 2025 ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ให้ใช้เป็นยา PrEP ฉีดทุก 6 เดือน ภายใต้ชื่อทางการค้า Yeztugo®
ผลข้างเคียงของยาต้านเอชไอวี แต่ละชนิดเป็นแบบไหน?
อาการส่วนใหญ่ถ้าเป็นระดับเล็กน้อยมักดีขึ้นเองใน 1-4 สัปดาห์แรก ห้ามหยุดยาเอง ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งเพื่อพิจารณาปรับหรือสลับสูตร
กลุ่ม NRTIs (ยาพื้นฐานของเกือบทุกสูตร)
TDF (Tenofovir disoproxil fumarate)
- ผลข้างเคียงที่พบบ่อย: คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย
- ข้อควรระวัง: ไตทำงานลดลง/ภาวะกระดูกพรุน เลือกใช้ในรายไตปกติและติดตามค่าการทำงานของไตและความหนาแน่นกระดูกเป็นระยะ
ABC (Abacavir)
- ผลข้างเคียง: ภาวะแพ้ยารุนแรง (hypersensitivity)
- ข้อควรระวัง: ต้องตรวจ HLA-B*57:01 ก่อนเริ่มยา; มีข้อมูลบางส่วนชี้ความเสี่ยงโรคหัวใจในบางราย—พิจารณารายบุคคล
TAF (Tenofovir alafenamide)
- ผลข้างเคียงที่พบบ่อย: น้ำหนัก/ไขมันอาจเพิ่ม, อาการทางทางเดินอาหารเล็กน้อย
- ข้อดี: ผลต่อไต/กระดูกดีกว่า TDF โดยรวม
FTC (Emtricitabine) / 3TC (Lamivudine)
- ผลข้างเคียง: ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ผื่นเล็กน้อย (มักหายเอง)
- ใช้จับคู่กับ TDF/TAF เป็นแกนหลักของสูตรสมัยใหม่
แนวทางปัจจุบันยังยืนยันบทบาท NRTIs คู่กับ INSTIs เป็นสูตรเริ่มต้นหลัก เช่น BIC/FTC/TAF หรือ DTG + (TDF/FTC หรือ TAF/FTC)
กลุ่ม INSTIs (แกนหลักของสูตรยุคปัจจุบัน)
BIC (Bictegravir) / DTG (Dolutegravir)
- ผลข้างเคียง: นอนไม่หลับ/เวียนศีรษะช่วงแรก, น้ำหนักอาจเพิ่มเล็กน้อย
- จุดเด่น: ออกฤทธิ์แรง กดไวรัสเร็ว ผลข้างเคียงต่ำ เหมาะเป็นสูตรแรกเริ่มส่วนใหญ่
RAL (Raltegravir)
- ผลข้างเคียง: คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ผื่น (พบน้อย)
- ใช้เป็นทางเลือกเมื่อไม่เหมาะกับ BIC/DTG
แนวทาง DHHS/IAS-USA ปีล่าสุดยังจัด INSTI-based regimen เป็น first-line สำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่
ผลข้างเคียงของยาต้านเอชไอวี กลุ่ม NNRTIs (ใช้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น)
DOR (Doravirine)
-
ผลข้างเคียง: ปวดศีรษะ คลื่นไส้ นอนไม่หลับเล็กน้อย—โดยรวมทนยาได้ดี
RPV (Rilpivirine)
- ผลข้างเคียง: ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ อารมณ์ซึมเศร้าในบางราย
- ข้อจำกัดสำคัญ: ใช้เริ่มต้นได้เฉพาะผู้ที่ Viral Load < 100,000 copies/mL และ CD4 > 200 เซลล์/มม.³ เท่านั้น (เพื่อเลี่ยงล้มเหลวในการรักษา)
NNRTIs รุ่นเก่าอย่าง EFV, NVP ถูกลดบทบาทจากผลข้างเคียงระบบประสาทหรือตับ และการดื้อยา
กลุ่ม PIs (Protease Inhibitors)
DRV/r หรือ DRV/c (Darunavir/ritonavir หรือ Darunavir/cobicistat)
- ผลข้างเคียง: ท้องเสีย คลื่นไส้, ไตรกลีเซอไรด์/คอเลสเตอรอล/น้ำตาลในเลือดอาจสูง
- ใช้เมื่อมีประวัติดื้อยา หรือใช้ INSTI ไม่ได้
ATV/c (Atazanavir/cobicistat) (ใช้เฉพาะบางกรณี)
-
ผลข้างเคียง: ตัวเหลืองตาเหลืองจาก unconjugated bilirubin สูง, อาการทางทางเดินอาหาร
ผลข้างเคียงของยาต้านเอชไอวี กลุ่มยาก่อน-เข้าเซลล์/ยับยั้งการเกาะ/ยาหลังเกาะ
Maraviroc (MVC) – ต้านตัวรับ CCR5
-
ผลข้างเคียง: ปวดท้อง เวียนศีรษะ ไอ ผื่น มีไข้เล็กน้อย
Fostemsavir (FTR) – Attachment inhibitor
-
ผลข้างเคียง: คลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดศีรษะ
Ibalizumab (IBA) – Monoclonal antibody (post-attachment)
-
ผลข้างเคียง: ผื่น ท้องเสีย เวียนศีรษะ (ให้ในรายที่ดื้อยาหลายกลุ่ม)
Enfuvirtide (ENF/T-20) – Fusion inhibitor (ยาฉีดใต้ผิว)
-
ผลข้างเคียง: ปวด/บวม/คันบริเวณฉีด
ผลข้างเคียงของยาต้านเอชไอวี ที่ออกฤทธิ์ยาวรุ่นใหม่
Cabotegravir + Rilpivirine (Long-acting สำหรับ “การรักษา”)
- ใช้ฉีดทุก 1–2 เดือนในผู้ที่กดไวรัสได้ดีแล้ว
- ผลข้างเคียง: ปวด/ก้อนบริเวณฉีด ปวดศีรษะ คลื่นไส้ (มักไม่รุนแรง)
Lenacapavir (Capsid inhibitor)
- ใช้รักษาผู้ดื้อยาหลายกลุ่ม และใน ปี 2025 ได้รับอนุมัติ “PrEP ฉีดทุก 6 เดือน” (ชื่อการค้า Yeztugo® ในสหรัฐฯ)
- ผลข้างเคียง: ปฏิกิริยาบริเวณฉีด ปวดศีรษะ คลื่นไส้ (โดยรวมทนได้ดี)
เคล็ดลับรับมือ
- อย่าหยุดยาเอง และนัดติดตามตามแพทย์สั่งเสมอ
- อาการเล็กน้อยช่วงเริ่มยา (เวียนศีรษะ/นอนไม่หลับ/คลื่นไส้) มักดีขึ้นใน 1-4 สัปดาห์
- แจ้งแพทย์ทันทีถ้ามี ผื่นทั้งตัว หายใจลำบาก ตาเหลืองตัวเหลือง ปวดท้องรุนแรง
- ตรวจเลือดติดตาม การทำงานของไต/ตับ, ไขมัน, น้ำตาล, น้ำหนักตัว เป็นระยะ
Related Article
ผลข้างเคียงของยาต้านเอชไอวี ในแต่ระยะ
ยาต้านไวรัสเอชไอวี ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูง ปลอดภัยขึ้นมาก และผลข้างเคียงรุนแรงพบได้น้อยกว่ายุคก่อนมาก อย่างไรก็ตาม อาการไม่พึงประสงค์บางอย่างยังอาจเกิดขึ้นได้ โดยแบ่งเป็น 2 ระยะหลัก ได้แก่
ผลข้างเคียงระยะสั้น (ช่วงเริ่มใช้ยา 1–4 สัปดาห์แรก)
อาการมักไม่รุนแรงและหายได้เองเมื่อร่างกายปรับตัว เช่น
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
- เวียนศีรษะ มึนงง นอนไม่หลับ
- ปวดศีรษะ ผื่นเล็กน้อย
- ฝันแปลกหรืออารมณ์แปรปรวน (พบได้ในบางราย)
วิธีรับมือ: ดื่มน้ำมาก ๆ รับประทานอาหารเบา ๆ พักผ่อนเพียงพอ และอย่าหยุดยาเอง หากอาการรบกวนมากควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาปรับสูตรยา
ผลข้างเคียงระยะยาว (เกิดหลังใช้ยานานหลายเดือนหรือหลายปี)
พบได้น้อยแต่ควรเฝ้าระวัง เช่น
- ผลต่อไตและกระดูก → มักพบในยากลุ่ม TDF
- น้ำหนักเพิ่ม / ไขมันสูง → พบใน TAF และ INSTIs (DTG, BIC)
- ภาวะตับอักเสบ → ต้องระวังในผู้ที่มีโรคตับหรือใช้ยา NNRTIs บางชนิด
- แพ้ยารุนแรง (Hypersensitivity) → โดยเฉพาะ Abacavir (ABC) ต้องตรวจ HLA-B57:01* ก่อนเริ่มยา
- ตัวเหลือง ตาเหลือง → พบใน Atazanavir (ATV)
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือไขมันสูง → พบในยากลุ่ม Protease inhibitors เช่น DRV/r
ผลข้างเคียงที่รุนแรง (พบไม่บ่อย แต่ต้องรีบพบแพทย์)
- ผื่นทั้งตัว / หายใจลำบาก / ปากบวม → อาจเป็นภาวะแพ้ยารุนแรง
- ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดท้องมาก → สงสัยตับอักเสบ
- ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง / อ่อนแรงเฉียบพลัน
- มีไข้สูง หรือคลื่นไส้อาเจียนต่อเนื่อง
บทสรุป ผลข้างเคียงของยาต้านเอชไอวี
แม้ยาต้านไวรัสเอชไอวีจะเป็นยาที่ต้องใช้ต่อเนื่องตลอดชีวิต แต่ในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ได้พัฒนาให้ยามีความปลอดภัยมากขึ้น ผลข้างเคียงรุนแรงพบได้น้อย และสามารถปรับสูตรยาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาและการสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถรับมือได้อย่างถูกวิธี ไม่ต้องกังวลเกินจำเป็น และรักษาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดยาเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสื่อสารอย่างเปิดใจกับแพทย์หรือเภสัชกร ทุกครั้งที่มีอาการผิดปกติ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำและแนวทางปรับยาที่เหมาะสมที่สุด การรักษาด้วยยาต้านไวรัสในปัจจุบันไม่เพียงช่วยควบคุมไวรัสให้ “ตรวจไม่พบ” (Undetectable) แต่ยังช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างแข็งแรง ยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตไม่ต่างจากคนทั่วไป หากดูแลตนเองอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
“ยาต้านไวรัสอาจมีผลข้างเคียงบ้าง
แต่การได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
คือก้าวสำคัญของการมีชีวิตที่มั่นคง
ปลอดภัย และมีความหวังในทุกวัน”
References:

