หูดหงอนไก่ (Genital Warts) หรือที่รู้จักกันว่า หูดอวัยวะเพศ Condylomata acuminata เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยซึ่งมีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) มีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆ ในบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก โดยมีขนาด และลักษณะแตกต่างกันไป HPV ติดต่อได้ง่ายแ ละแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก
หูดเอชพีวีเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบาย คัน และในบางกรณีอาจมีอาการเจ็บปวดเล็กน้อย หูดที่อวัยวะเพศ เป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่เพียงแต่ต่อผลกระทบทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเนื่องมาจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะในผู้หญิง การตรวจสุขภาพเป็นประจำ การปฏิบัติทางเพศอย่างปลอดภัย และการฉีดวัคซีน HPV สามารถช่วยป้องกัน และจัดการหูดหงอนไก่ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความตระหนักรู้ และการให้ความรู้ด้านสุขภาพทางเพศ
สารบัญ
1. อาการของ หูดหงอนไก่ เป็นอย่างไร ?
- อาการของ หูดหงอนไก่ชาย กับ หูดหงอนไก่หญิง แตกต่างกันอย่างไร?
- ตารางสรุปความแตกต่างของ อาการหูดหงอนไก่ชาย และหญิง
3. หูดหงอนไก่ มีความเสี่ยงมาจากพฤติกรรมใดบ้าง
4. ตำแหน่งที่พบรอยโรคหูดหงอนไก่
5. การตรวจวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่
6. ภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่
อาการของ หูดหงอนไก่ เป็นอย่างไร ?
หูดหงอนไก่มีอาการที่ขึ้นอยู่กับผู้ติดเชื้อ หากคุณมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง โรคก็จะไม่แสดงอาการใดๆ เลย ไปจนถึงมีติ่งเนื้อ ลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำขึ้นมักมีขนาดเล็ก แต่อาจโตเป็นก้อนใหญ่ได้อย่างชัดเจนตามบริเวณอวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ หรือบริเวณง่ามขา โดยที่ผู้ป่วยหนึ่งรายอาจพบรอยโรคในหลายๆ ตำแหน่งได้ ลักษณะของรอยโรคที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น 3 กรณีหลักๆ คือ รอยโรคจะหายไปเอง รอยโรคจะอยู่เหมือนเดิม และรอยโรคจะขยายเพิ่มขึ้น
ซึ่งขนาด และการเรียงตัวของหูดอาจแตกต่างกันไป ส่งผลให้ผู้ติดเชื้ออาจเกิดความสับสนเพราะมีอาการคล้ายกับโรคซิฟิลิส โรคหูดข้าวสุก หรือโรคผิวหนังชนิดอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่โรคหูดหงอนไก่จะไม่มีอาการเจ็บ หรือระคายเคืองแต่อย่างใด เว้นแต่ในผู้ป่วยส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีอาการคันอย่างรุนแรง แสบร้อน มีเลือดออกจากบริเวณแผล
อาการของ หูดหงอนไก่ชาย กับ หูดหงอนไก่หญิง แตกต่างกันอย่างไร?
อาการของ หูดหงอนไก่ชาย และหญิง มีความคล้ายคลึงกัน โดยทั่วไปแล้ว อาการของหูดหงอนไก่ ได้แก่
- ตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อที่มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มักมีขนาดเล็ก แต่อาจโตเป็นก้อนใหญ่ได้
- มีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บบริเวณที่เป็นหูดหงอนไก่
- ในบางรายอาจพบเลือดออก หรือมีตกขาวผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งที่พบ หูดหงอนไก่ในชาย และหญิง อาจแตกต่างกันเล็กน้อย โดยในชายมักพบหูดหงอนไก่บริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เส้นสองสลึง หรือรูเปิดท่อปัสสาวะ ส่วนในหญิงมักพบหูดหงอนไก่บริเวณปากช่องคลอด ปากมดลูก หรือทวารหนัก
นอกจากนี้ ผู้หญิงอาจมีอาการหูดหงอนไก่ที่ปากมดลูกได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะปากมดลูกอักเสบ หรือโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ผู้ที่ติดเชื้อ HPV ชนิด 16 หรือ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดของ HPV ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อ HPV ชนิดอื่นๆ
ตารางสรุปความแตกต่างของ อาการหูดหงอนไก่ชาย และหญิง
ลักษณะ | หูดหงอนไก่ชาย | หูดหงอนไก่หญิง |
---|---|---|
ตำแหน่งที่พบบ่อย | หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เส้นสองสลึง หรือรูเปิดท่อปัสสาวะ | ปากช่องคลอด ปากมดลูก หรือทวารหนัก |
อาการอื่นๆ | อาจพบเลือดออก หรือมีตกขาวผิดปกติ | อาจมีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บบริเวณที่เป็นหูดหงอนไก่มากขึ้น ในช่วงมีประจำเดือน |
ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน | ความเสี่ยงต่อภาวะลูกอัณฑะอักเสบ หรือโรคมะเร็งทวารหนัก | ความเสี่ยงต่อภาวะปากมดลูกอักเสบ หรือโรคมะเร็งปากมดลูก |
สาเหตุของ หูดหงอนไก่
โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Human Papillomavirus หรือ HPV ซึ่งในปัจจุบันพบไวรัสชนิดนี้มากกว่า 200 สายพันธุ์ย่อย โดยเชื้อที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่มากถึง 90% คือสายพันธ์ุ 6 และ 11 เมื่อร่างกายของผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัส HPV เข้าร่างกาย จะใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 3 เดือนในการแบ่งตัวเข้าสู่เซลล์ชั้นล่างสุดของเยื่อบุ จนเกิดการเปลี่ยนรูปร่างเป็นติ่งเนื้องอกขึ้นมาให้เห็นได้ชัดเจน
และโดยปกติแล้วผู้ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ประมาณร้อยละ 80% จะสามารถหายเองได้ภายใน 2 ปี แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ หรือส่วนน้อยของผู้ป่วยทั้งหมดที่ร่างกายจะเกิดเป็นรอยโรคเรื้อรัง
หูดหงอนไก่ มีความเสี่ยงมาจากพฤติกรรมใดบ้าง
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อไวรัสโรคหูดหงอนไก่
- พฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
- มีกิจกรรมทางเพศอื่นๆ ที่ไม่ปลอดภัย
- การติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกในระหว่างการคลอด
ตำแหน่งที่พบรอยโรคหูดหงอนไก่
เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่มักขึ้นในบริเวณร่างกายที่มีเนื้อเยื่อเมือก เนื่องจากเป็นบริเวณที่อับชื้น และอุ่น ซึ่งผู้หญิงจะพบมากที่ปากช่องคลอด ปากมดลูก ผนังช่องคลอด ทวารหนัก รวมถึงบริเวณฝีเย็บ ส่วนในผู้ชายมักพบบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ รูเปิดท่อปัสสาวะ เส้นสองสลึง และบริเวณรอบทวารหนักในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และตำแหน่งที่พบรอยโรคในทารกที่ผ่านการคลอดทางช่องคลอดมารดาที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ จะมีเป็นหูดหงอนไก่ที่หลอดลม อาจมีอาการเสียงแหบ และเกิดการอุดกั้นของกล่องเสียงได้
การตรวจวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่
การตรวจโรคหูดหงอนไก่ สามารถทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะตรวจดูลักษณะของรอยโรคหูดหงอนไก่ หากแพทย์ไม่แน่ใจว่ารอยโรคนั้นเกิดจากหูดหงอนไก่ หรือไม่ แพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อรอยโรคส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
วิธีตรวจโรคหูดหงอนไก่ มีดังนี้
- การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจดูลักษณะของรอยโรคหูดหงอนไก่ โดยรอยโรคหูดหงอนไก่มักมีลักษณะเป็นตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อที่มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มักมีขนาดเล็ก แต่อาจโตเป็นก้อนใหญ่ได้
- การตรวจด้วยกรดอะซิติก แพทย์จะทากรดอะซิติกเจือจางบริเวณที่สงสัยว่าจะเป็นหูดหงอนไก่ หากรอยโรคเป็นหูดหงอนไก่ รอยโรคจะเปลี่ยนเป็นสีขาว
- การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ แพทย์อาจใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูรอยโรคหูดหงอนไก่เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
- การตรวจชิ้นเนื้อ แพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อรอยโรคส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัย นอกจากนี้ แพทย์อาจตรวจหาเชื้อ HPV ร่วมด้วยเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่
ผู้ป่วยโรคหูดหงอนไก่มีความเสี่ยงที่เชื้อไวรัสในร่างกาย จะพัฒนาไปสู่การเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น มะเร็งองคชาต มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งบริเวณแคมใหญ่ มะเร็งในคอหอย โดยโรคแทรกซ้อนดังกล่าวล้วนเกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ รวมถึงกรณีเพศหญิงที่มีหูดหงอนไก่ขนาดใหญ่ระหว่างการตั้งครรภ์ อาจส่งผลให้รอยแผลขัดขวางการคลอดจนแพทย์ต้องใช้วิธีการผ่าคลอดแทน
วิธีรักษาหูดหงอนไก่
การรักษาโรคหูดหงอนไก่ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับขนาด และตำแหน่งของรอยโรคหูดหงอนไก่ โดยทั่วไปแล้ว การรักษาหูดหงอนไก่มักใช้ยาทา หรือยารับประทาน การรักษาหูดหงอนไก่สามารถช่วยลดระยะเวลา และความรุนแรงของอาการหูดหงอนไก่ได้ แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่กลับมาอีก
นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่กลับมาอีก เช่น
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษา และคำแนะนำในการป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่กลับมาอีก
วิธีรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยยา
การรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยยามักใช้ยาทา หรือยารับประทาน ยาที่ใช้รักษาโรคหูดหงอนไก่ ได้แก่
- ยาทา เช่น อิมิควิโมด (Imiquimod), โพโดฟิลอก (Podofilox), กรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic acid)
- ยารับประทาน เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir), วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir), ฟามซิโคลเวียร์ (Famciclovir)
วิธีรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยการผ่าตัด
การรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยการผ่าตัดมักใช้ในกรณีที่ยาทา หรือยารับประทานไม่ได้ผล หรือในกรณีที่หูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่ หรืออยู่บริเวณที่ยากต่อการรักษาด้วยยา การผ่าตัดรักษาโรคหูดหงอนไก่มีหลายวิธี เช่น
- การจี้เย็น (Cryotherapy) เป็นการจี้หูดหงอนไก่ด้วยไนโตรเจนเหลว
- การจี้ไฟฟ้า (Electrocautery) เป็นการจี้หูดหงอนไก่ด้วยไฟฟ้า
- การตัดด้วยใบมีด (Excision) เป็นการเลาะเอาหูดหงอนไก่ออกด้วยใบมีด
- การใช้เลเซอร์ (Laser therapy) เป็นการกำจัดหูดหงอนไก่ด้วยเลเซอร์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ หูดหงอนไก่
หูดหงอนไก่รักษาเองได้ไหม?
- การรักษาหูดหงอนไก่ ควรพบแพทย์เพื่อประเมินรอยโรคก่อนว่าคุณเป็นโรคนี้จริง หรือไม่ หรือหากรู้แน่นอนแล้วว่าเป็นหูดหงอนไก่ เพราะเคยรักษามาก่อน ก็ไม่ควรนำยาเดิมที่เคยได้รับจากแพทย์มาใช้ด้วยตัวเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อไม่ทำให้แผลเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้การรักษาไม่หายขาด และลุกลามใหญ่โตได้
ใช้วิธีเจาะเลือดตรวจหาเชื้อหูดหงอนไก่จะเจอไหม?
- โรคหูดหงอนไก่ ยังไม่สามารถเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อได้ เนื่องจาก
รักษาหายแล้ว มีโอกาสกลับมาเป็นหูดหงอนไก่ซ้ำได้อีก หรือไม่?
- หูดหงอนไก่ มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกภายในระยะเวลา 3-6 เดือนหลังจากทำการรักษาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจำนวนที่อาจเกิดซ้ำอยู่ที่ร้อยละ 40-60 เนื่องจากขั้นตอนการรักษาของผู้ติดเชื้อหูดหงอนไก่นั้นไม่สมบูรณ์ เช่น ตัวยาที่รักษาไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยมีภาวะร่างกายอ่อนแอ หรือภูมิคุ้มกันต่ำ การติดเชื้อซ้ำจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก และไม่ระมัดระวังตัวเองมากพอ เป็นต้น
การป้องกันโรคหูดหงอนไก่
ปัจจุบันโรคหูดหงอนไก่ยังไม่มียาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ 100% ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ จึงต้องหลีกเลี่ยงโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ด้วยวิธีเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ป้องกันโรคด้วยการปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้
- การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ทางเพศร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการมีสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ
- ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนหลายๆ คน
- หลีกเลี่ยงการมีสัมผัสกับผู้เป็นโรคหูดหงอนไก่
- รักษาความสะอาดบริเวณ ทวารหนัก อวัยวะเพศ มุมอับชื้นต่างๆ ภายในร่างกาย
- ตรวจเอชไอวี และโรคติดต่อเป็นประจำ
ป้องกันโรคด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน หูดหงอนไก่
การฉีดวัคซีนป้องกันหูดหงอนไก่ หรือ วัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี จำเป็นจะต้องฉีดให้ครบจำนวนทั้งหมด 3 เข็ม เพราะทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงกว่า 80-90% ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายก่อนมะเร็ง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่ควรต้องฉีดวัคซีนนี้ ผู้ชายก็ต้องฉีดด้วยเช่นกัน ซึ่งวัคซีนสำหรับป้องกันเชื้อเอชพีวี แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
วัคซีน HPV การ์ดาซิล
- วัคซีน HPV การ์ดาซิล หรือเรียกชื่อทางการค้าว่า Gardasil 9 จะเป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี 9 สายพันธุ์ ประกอบไปด้วยสายพันธุ์ที่ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 สามารถฉีดได้ทุกเพศทั้งหญิง และชาย ตั้งแต่อายุ 9-45 ปี
วัคซีนเซอร์วาริก (Cervarix)
- ป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
การดูแลตนเองระหว่างการรักษาหูดหงอนไก่
- งดมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างที่ทำการรักษาหูดหงอนไก่
- เข้ารับการรักษาตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด
- หมั่นรักษาสุขอนามัยร่างกาย และบริเวณที่พบรอยโรค
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น สูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอ
- ควรรีบพบแพทย์ทันที หากมีอาการผิดปกติ หรือ มีอาการรุนแรงมากขึ้น
- ควรให้คู่นอนทำการตรวจรักษาร่วมด้วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
อ่านบทความเกี่ยวกับ หูดหงอนไก่ เพิ่มเติมที่นี่
กล่าวคือ หูดหงอนไก่ซึ่งเกิดจากไวรัส HPV ที่ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นส่งผลต่อบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก หูดเหล่านี้ปรากฏเป็นการเจริญเติบโตเล็กๆ หรือเป็นกระจุก อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว และอาจทำให้เกิดอาการคัน หรือเจ็บปวดเล็กน้อย เชื้อ HPV ติดต่อได้สูงผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่สวมถุงยางอนามัย ก่อให้เกิดความกังวลด้านสุขภาพอย่างมาก และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งต่างๆ
เราจึงควรหันมาเน้นถึงความสำคัญของการป้องกัน และการตรวจคัดกรองทางการแพทย์เป็นประจำ การปฏิบัติทางเพศอย่างปลอดภัย รวมถึงการใช้ถุงยางอนามัย และการฉีดวัคซีน HPV เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ การส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับหูดหงอนไก่ และการให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่เชื้อจะส่งผลให้สุขภาพทางเพศดีขึ้นภายในสังคมไทยได้ในที่สุดครับ