หูดหงอนไก่ เรื่องต้องระวัง!

หูดหงอนไก่ (Genital Warts) หรือที่รู้จักกันว่า หูดอวัยวะเพศ Condylomata acuminata เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยซึ่งมีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) มีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆ ในบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก โดยมีขนาดและลักษณะแตกต่างกันไป HPV ติดต่อได้ง่ายแ ละแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก หูดเอชพีวีเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบาย คัน และในบางกรณีอาจมีอาการเจ็บปวดเล็กน้อย หูดที่อวัยวะเพศ เป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่เพียงแต่ต่อผลกระทบทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเนื่องมาจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะในผู้หญิง การตรวจสุขภาพเป็นประจำ การปฏิบัติทางเพศอย่างปลอดภัย และการฉีดวัคซีน HPV สามารถช่วยป้องกันและจัดการหูดหงอนไก่ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความตระหนักรู้และการให้ความรู้ด้านสุขภาพทางเพศ

หูดหงอนไก่ เรื่องต้องระวัง
เนื้อหาที่น่าสนใจ ซ่อน

อาการของ หูดหงอนไก่ เป็นอย่างไร ?

หูดหงอนไก่มีอาการที่ขึ้นอยู่กับผู้ติดเชื้อ หากคุณมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง โรคก็จะไม่แสดงอาการใดๆ เลย ไปจนถึงมีติ่งเนื้อ ลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำขึ้นมักมีขนาดเล็ก แต่อาจโตเป็นก้อนใหญ่ได้อย่างชัดเจนตามบริเวณอวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ หรือบริเวณง่ามขา โดยที่ผู้ป่วยหนึ่งรายอาจพบรอยโรคในหลายๆ ตำแหน่งได้ ลักษณะของรอยโรคที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น 3 กรณีหลักๆ คือ รอยโรคจะหายไปเอง รอยโรคจะอยู่เหมือนเดิม และรอยโรคจะขยายเพิ่มขึ้น ซึ่งขนาดและการเรียงตัวของหูดอาจแตกต่างกันไป ส่งผลให้ผู้ติดเชื้ออาจเกิดความสับสนเพราะมีอาการคล้ายกับโรคซิฟิลิส โรคหูดข้าวสุก หรือโรคผิวหนังชนิดอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่โรคหูดหงอนไก่จะไม่มีอาการเจ็บหรือระคายเคืองแต่อย่างใด เว้นแต่ในผู้ป่วยส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีอาการคันอย่างรุนแรง แสบร้อน มีเลือดออกจากบริเวณแผล

อาการของ หูดหงอนไก่ชาย กับ หูดหงอนไก่หญิง แตกต่างกันอย่างไร?

อาการของ หูดหงอนไก่ชายและหญิง มีความคล้ายคลึงกัน โดยทั่วไปแล้ว อาการของหูดหงอนไก่ ได้แก่

  • ตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อที่มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มักมีขนาดเล็ก แต่อาจโตเป็นก้อนใหญ่ได้
  • มีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บบริเวณที่เป็นหูดหงอนไก่
  • ในบางรายอาจพบเลือดออกหรือมีตกขาวผิดปกติ

อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งที่พบ หูดหงอนไก่ในชายและหญิง อาจแตกต่างกันเล็กน้อย โดยในชายมักพบหูดหงอนไก่บริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เส้นสองสลึง หรือรูเปิดท่อปัสสาวะ ส่วนในหญิงมักพบหูดหงอนไก่บริเวณปากช่องคลอด ปากมดลูก หรือทวารหนัก

นอกจากนี้ ผู้หญิงอาจมีอาการหูดหงอนไก่ที่ปากมดลูกได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะปากมดลูกอักเสบหรือโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ผู้ที่ติดเชื้อ HPV ชนิด 16 หรือ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดของ HPV ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อ HPV ชนิดอื่นๆ

อาการของ หูดหงอนไก่ ชาย กับ หูดหงอนไก่ หญิง

ตารางสรุปความแตกต่างของ อาการหูดหงอนไก่ชายและหญิง

ลักษณะหูดหงอนไก่ชายหูดหงอนไก่หญิง
ตำแหน่งที่พบบ่อยหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ
เส้นสองสลึง หรือรูเปิดท่อปัสสาวะ
ปากช่องคลอด ปากมดลูก
หรือทวารหนัก
อาการอื่นๆอาจพบเลือดออก
หรือมีตกขาวผิดปกติ
อาจมีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บบริเวณที่เป็นหูดหงอนไก่มากขึ้น
ในช่วงมีประจำเดือน
ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนความเสี่ยงต่อภาวะลูกอัณฑะอักเสบหรือโรคมะเร็งทวารหนักความเสี่ยงต่อภาวะปากมดลูกอักเสบหรือโรคมะเร็งปากมดลูก

สาเหตุของ หูดหงอนไก่

โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Human Papillomavirus หรือ HPV ซึ่งในปัจจุบันพบไวรัสชนิดนี้มากกว่า 200 สายพันธุ์ย่อย โดยเชื้อที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่มากถึง 90% คือสายพันธ์ุ 6 และ 11 เมื่อร่างกายของผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัส HPV เข้าร่างกาย จะใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 3 เดือนในการแบ่งตัวเข้าสู่เซลล์ชั้นล่างสุดของเยื่อบุ จนเกิดการเปลี่ยนรูปร่างเป็นติ่งเนื้องอกขึ้นมาให้เห็นได้ชัดเจน และโดยปกติแล้วผู้ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ประมาณร้อยละ 80% จะสามารถหายเองได้ภายใน 2 ปี แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอหรือส่วนน้อยของผู้ป่วยทั้งหมดที่ร่างกายจะเกิดเป็นรอยโรคเรื้อรัง

หูดหงอนไก่ มีความเสี่ยงมาจากพฤติกรรมใดบ้าง

  • การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อไวรัสโรคหูดหงอนไก่
  • พฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
  • มีกิจกรรมทางเพศอื่น ๆ ที่ไม่ปลอดภัย
  • การติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกในระหว่างการคลอด
สาเหตุของ หูดหงอนไก่

ตำแหน่งที่พบรอยโรคหูดหงอนไก่

เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่มักขึ้นในบริเวณร่างกายที่มีเนื้อเยื่อเมือก เนื่องจากเป็นบริเวณที่อับชื้นและอุ่น ซึ่งผู้หญิงจะพบมากที่ปากช่องคลอด ปากมดลูก ผนังช่องคลอด ทวารหนัก รวมถึงบริเวณฝีเย็บ ส่วนในผู้ชายมักพบบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ รูเปิดท่อปัสสาวะ เส้นสองสลึง และบริเวณรอบทวารหนักในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และตำแหน่งที่พบรอยโรคในทารกที่ผ่านการคลอดทางช่องคลอดมารดาที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ จะมีเป็นหูดหงอนไก่ที่หลอดลม อาจมีอาการเสียงแหบและเกิดการอุดกั้นของกล่องเสียงได้

การตรวจวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่

การตรวจโรคหูดหงอนไก่ สามารถทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะตรวจดูลักษณะของรอยโรคหูดหงอนไก่ หากแพทย์ไม่แน่ใจว่ารอยโรคนั้นเกิดจากหูดหงอนไก่หรือไม่ แพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อรอยโรคส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัย

วิธีตรวจโรคหูดหงอนไก่ มีดังนี้

  • การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจดูลักษณะของรอยโรคหูดหงอนไก่ โดยรอยโรคหูดหงอนไก่มักมีลักษณะเป็นตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อที่มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มักมีขนาดเล็ก แต่อาจโตเป็นก้อนใหญ่ได้
  • การตรวจด้วยกรดอะซิติก แพทย์จะทากรดอะซิติกเจือจางบริเวณที่สงสัยว่าจะเป็นหูดหงอนไก่ หากรอยโรคเป็นหูดหงอนไก่ รอยโรคจะเปลี่ยนเป็นสีขาว
  • การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ แพทย์อาจใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูรอยโรคหูดหงอนไก่เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
  • การตรวจชิ้นเนื้อ แพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อรอยโรคส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัย นอกจากนี้ แพทย์อาจตรวจหาเชื้อ HPV ร่วมด้วยเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่

ผู้ป่วยโรคหูดหงอนไก่มีความเสี่ยงที่เชื้อไวรัสในร่างกาย จะพัฒนาไปสู่การเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น มะเร็งองคชาต มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งบริเวณแคมใหญ่ มะเร็งในคอหอย โดยโรคแทรกซ้อนดังกล่าวล้วนเกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ รวมถึงกรณีเพศหญิงที่มีหูดหงอนไก่ขนาดใหญ่ระหว่างการตั้งครรภ์ อาจส่งผลให้รอยแผลขัดขวางการคลอดจนแพทย์ต้องใช้วิธีการผ่าคลอดแทน

วิธีรักษาหูดหงอนไก่

การรักษาโรคหูดหงอนไก่ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของรอยโรคหูดหงอนไก่ โดยทั่วไปแล้ว การรักษาหูดหงอนไก่มักใช้ยาทาหรือยารับประทาน การรักษาหูดหงอนไก่สามารถช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการหูดหงอนไก่ได้ แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่กลับมาอีก

นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่กลับมาอีก เช่น

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำในการป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่กลับมาอีก

วิธีรักษา หูดหงอนไก่

วิธีรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยยา

การรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยยามักใช้ยาทาหรือยารับประทาน ยาที่ใช้รักษาโรคหูดหงอนไก่ ได้แก่

  • ยาทา เช่น อิมิควิโมด (Imiquimod), โพโดฟิลอก (Podofilox), กรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic acid)
  • ยารับประทาน เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir), วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir), ฟามซิโคลเวียร์ (Famciclovir)

วิธีรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยการผ่าตัด

การรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยการผ่าตัดมักใช้ในกรณีที่ยาทาหรือยารับประทานไม่ได้ผล หรือในกรณีที่หูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่หรืออยู่บริเวณที่ยากต่อการรักษาด้วยยา การผ่าตัดรักษาโรคหูดหงอนไก่มีหลายวิธี เช่น

  • การจี้เย็น (Cryotherapy) เป็นการจี้หูดหงอนไก่ด้วยไนโตรเจนเหลว
  • การจี้ไฟฟ้า (Electrocautery) เป็นการจี้หูดหงอนไก่ด้วยไฟฟ้า
  • การตัดด้วยใบมีด (Excision) เป็นการเลาะเอาหูดหงอนไก่ออกด้วยใบมีด
  • การใช้เลเซอร์ (Laser therapy) เป็นการกำจัดหูดหงอนไก่ด้วยเลเซอร์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ หูดหงอนไก่

หูดหงอนไก่รักษาเองได้ไหม?

= การรักษาหูดหงอนไก่ ควรพบแพทย์เพื่อประเมินรอยโรคก่อนว่าคุณเป็นโรคนี้จริงหรือไม่ หรือหากรู้แน่นอนแล้วว่าเป็นหูดหงอนไก่ เพราะเคยรักษามาก่อน ก็ไม่ควรนำยาเดิมที่เคยได้รับจากแพทย์มาใช้ด้วยตัวเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อไม่ทำให้แผลเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้การรักษาไม่หายขาดและลุกลามใหญ่โตได้

ใช้วิธีเจาะเลือดตรวจหาเชื้อหูดหงอนไก่จะเจอไหม?

= โรคหูดหงอนไก่ ยังไม่สามารถเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อได้ เนื่องจาก

รักษาหายแล้ว มีโอกาสกลับมาเป็นหูดหงอนไก่ซ้ำได้อีกหรือไม่?

= หูดหงอนไก่ มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกภายในระยะเวลา 3-6 เดือนหลังจากทำการรักษาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจำนวนที่อาจเกิดซ้ำอยู่ที่ร้อยละ 40-60 เนื่องจากขั้นตอนการรักษาของผู้ติดเชื้อหูดหงอนไก่นั้นไม่สมบูรณ์ เช่น ตัวยาที่รักษาไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยมีภาวะร่างกายอ่อนแอหรือภูมิคุ้มกันต่ำ การติดเชื้อซ้ำจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก และไม่ระมัดระวังตัวเองมากพอ เป็นต้น

วิธีป้องกันโรคหูดหงอนไก่

การป้องกันโรคหูดหงอนไก่

ปัจจุบันโรคหูดหงอนไก่ยังไม่มียาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ 100% ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ จึงต้องหลีกเลี่ยงโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ด้วยวิธีเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ป้องกันโรคด้วยการปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

  • การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ 
  • หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ทางเพศร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการมีสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ
  • ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนหลายๆ คน
  • หลีกเลี่ยงการมีสัมผัสกับผู้เป็นโรคหูดหงอนไก่
  • รักษาความสะอาดบริเวณ ทวารหนัก อวัยวะเพศ มุมอับชื้นต่าง ๆ ภายในร่างกาย
  • ตรวจเอชไอวี และโรคติดต่อเป็นประจำ

ป้องกันโรคด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน หูดหงอนไก่

การฉีดวัคซีนป้องกันหูดหงอนไก่ หรือ วัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี จำเป็นจะต้องฉีดให้ครบจำนวนทั้งหมด 3 เข็ม เพราะทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงกว่า 80-90% ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายก่อนมะเร็ง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่ควรต้องฉีดวัคซีนนี้ ผู้ชายก็ต้องฉีดด้วยเช่นกัน ซึ่งวัคซีนสำหรับป้องกันเชื้อเอชพีวี แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

  • วัคซีน HPV การ์ดาซิล
    • วัคซีน HPV การ์ดาซิล หรือเรียกชื่อทางการค้าว่า Gardasil 9 จะเป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี 9 สายพันธุ์ ประกอบไปด้วยสายพันธุ์ที่ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 สามารถฉีดได้ทุกเพศทั้งหญิงและชาย ตั้งแต่อายุ 9-45 ปี
  • วัคซีนเซอร์วาริก (Cervarix) 
    • ป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
วัคซีนเอชพีวี การ์ดาซิล

การดูแลตนเองระหว่างการรักษาหูดหงอนไก่

  • งดมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างที่ทำการรักษาหูดหงอนไก่
  • เข้ารับการรักษาตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด
  • หมั่นรักษาสุขอนามัยร่างกายและบริเวณที่พบรอยโรค
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น สูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอ
  • ควรรีบพบแพทย์ทันที หากมีอาการผิดปกติ หรือ มีอาการรุนแรงมากขึ้น
  • ควรให้คู่นอนทำการตรวจรักษาร่วมด้วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

อ่านบทความเกี่ยวกับ หูดหงอนไก่ เพิ่มเติมที่นี่

กล่าวคือ หูดหงอนไก่ซึ่งเกิดจากไวรัส HPV ที่ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นส่งผลต่อบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก หูดเหล่านี้ปรากฏเป็นการเจริญเติบโตเล็กๆ หรือเป็นกระจุก อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว และอาจทำให้เกิดอาการคันหรือเจ็บปวดเล็กน้อย เชื้อ HPV ติดต่อได้สูงผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่สวมถุงยางอนามัย ก่อให้เกิดความกังวลด้านสุขภาพอย่างมาก และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งต่างๆ เราจึงควรหันมาเน้นถึงความสำคัญของการป้องกัน และการตรวจคัดกรองทางการแพทย์เป็นประจำ การปฏิบัติทางเพศอย่างปลอดภัย รวมถึงการใช้ถุงยางอนามัยและการฉีดวัคซีน HPV เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ การส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับหูดหงอนไก่ และการให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่เชื้อจะส่งผลให้สุขภาพทางเพศดีขึ้นภายในสังคมไทยได้ในที่สุดครับ