โรคหูดข้าวสุก หรือชื่อเรียกจำเพาะภาษาอังกฤษว่า Molluscum contagiosum ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่สามารถแพร่กระจายได้ง่าย และมักมีสถิติว่ามีผู้เป็นโรคนี้อยู่เรื่อยๆ เนื่องจากหูดข้าวสุก จะสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางผิวหนัง จากการสัมผัสเชื้อเท่านั้นเอง โดยเชื้อไวรัสตัวต้นเหตุ ของโรคหูดข้าวสุก คือ เชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae
อย่างไรก็ตาม โรคหูดข้าวสุกเป็นโรคติดเชื้อเฉพาะผิวหนังชั้นนอก กล่าวคือ เชื้อไวรัสจะไม่เข้าสู่ร่างกายทางกระแสเลือด หรือระบบประสาท ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อหูดข้าวสุกไม่ค่อยแสดงอาการใดๆ ให้เห็นอย่างเด่นชัด ไม่มีไข้ ไม่อ่อนเพลีย ไม่ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนกับการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ทั่วไป
เราสามารถติดโรคนี้ได้ผ่านช่องทางหลักๆ เหล่านี้
- การสัมผัสกับผิวหนังที่มีรอยของโรค
- การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน กับคนที่มีหูดข้าวสุกตรงอวัยวะเพศ หรือทวารหนัก
หูดข้าวสุกมีลักษณะอย่างไร ?
โดยอาการของโรคหูดข้าวสุก จะเริ่มจากการมีจุดแดงๆ ต่อมาเป็นตุ่มเล็กๆ สีแดง และอาจสังเกตเห็นว่ามีตุ่มเล็กๆ สีขาวคล้ายเม็ดข้าวสารอยู่ข้างในด้วย บ้างก็มีลักษณะคล้ายสิวอักเสบ แต่ไม่มีอาการเจ็บ และหากบีบตุ่มหูดจะได้สารสีขาวข้น เป็นเม็ดคล้ายข้าวสุก ดังชื่อของโรคนั่นเอง
ตุ่มบริเวณผิวหนังอาจเป็นตุ่มเดี่ยว หรืออยู่กระจุกเป็นกลุ่มได้ถึง 20 ตุ่ม และมีผิวสัมผัสที่เงา และเรียบ ตุ่มอาจมีสีเนื้อ หรือสีขาวอมชมพู ลักษณะเป็นรูปทรงโดม หรือมีรอยบุ๋มตรงกลาง และมักพบได้บริเวณใบหน้า ท้อง ลำตัว แขน ขา อวัยวะเพศ ต้นขาด้านใน ผิวหนังที่สัมผัส หรือเสียดสีกันบ่อย เช่น ข้อพับ เป็นต้น ซึ่งเชื้อนี้จะมีระยะฟักตัวเฉลี่ย อยู่ที่ประมาณ 2-7 สัปดาห์ไปจนถึง 6 เดือน
อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
หากมีอาการข้างต้น และสงสัยว่าจะเป็นอาการของหูดข้าวสุก ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และงดมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน ทั้งนี้การรักษาโรคหูดข้าวสุก แพทย์จะทำการบ่มเอาสารสีขาวในแผลออกมา ร่วมกับแต้มยารักษาตุ่มหูดเพื่อฆ่าเชื้อ และลดโอกาสแพร่กระจายเชื้อ เบื้องต้น เมื่อคุณไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอาการ โดยจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ที่จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้กับคุณต่อไป และควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อการรักษาที่ได้ผล

สำหรับคนที่ไม่ค่อยรักษาความสะอาด มือ เท้า และอวัยวะเพศก็มีความเสี่ยงที่จะติดโรคได้ง่าย โดยเฉพาะคนที่ชอบโกนขนอวัยวะเพศเป็นประจำ เพราะขนที่บริเวณนั้นช่วยทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่จะเข้าสู่อวัยวะเพศได้ ช่วยลดการเสียดสีระหว่างทำกิจกรรมทางเพศ หากคุณโกนขนส่วนนี้ไปก็อาจจะทำให้เสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย ขอให้เน้นที่การป้องกันด้วยถุงยางอนามัยทุกครั้ง และการรักษาความสะอาดเป็นสำคัญจะดีที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก: Health Kapook, รพ.ราม