การตรวจเอชไอวี คือหนึ่งในวิธีที่สำคัญที่สุด ในการดูแลสุขภาพทางเพศของตนเองอย่างรอบด้าน ในอดีต หลายคนอาจลังเลเพราะกลัวความยุ่งยาก หรือผลตรวจที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิต แต่ในปัจจุบัน การตรวจเอชไอวีสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว รู้ผลภายในเวลาไม่กี่นาที มีความปลอดภัย และเป็นส่วนตัวมากขึ้นกว่าที่เคย การเริ่มต้นตรวจตั้งแต่วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป การรู้ผลตรวจไม่เพียงช่วยให้คุณวางแผนสุขภาพได้อย่างมั่นใจ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่การป้องกันและเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา หากมีความเสี่ยง การตรวจเร็วจะช่วยลดโอกาสในการแพร่เชื้อ และยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเองและคนที่คุณรัก บทความนี้ จะอธิบายขั้นตอนของการตรวจเอชไอวีอย่างละเอียด ตั้งแต่วิธีการตรวจที่ใช้กันในประเทศไทย การเตรียมตัวก่อนตรวจ ความหมายของผลตรวจ ไปจนถึงแนวทางการดูแลตนเองหลังทราบผล เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง และตัดสินใจตรวจเอชไอวีได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
การตรวจเอชไอวี คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ?
การตรวจเอชไอวี (HIV Testing) คือกระบวนการทางการแพทย์ ที่ใช้ตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีในร่างกาย ซึ่งเป็นไวรัสที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อเอชไอวีสามารถพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) ได้ในระยะยาว การตรวจเอชไอวี จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการรู้สถานะสุขภาพของตนเอง และเป็นจุดเริ่มต้นของการป้องกันหรือรักษาอย่างเหมาะสม ความสำคัญของการตรวจเอชไอวี ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนทั่วไป ที่อาจเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีพฤติกรรมที่อาจทำให้สัมผัสกับเชื้อโดยไม่รู้ตัว เพราะเอชไอวีสามารถอยู่ในร่างกายได้ โดยไม่แสดงอาการเป็นเวลาหลายปี การตรวจจึงช่วยให้เรารู้สถานะได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และสามารถเริ่มดูแลสุขภาพได้อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ การตรวจเอชไอวียังมีบทบาทสำคัญ ในการป้องกันการแพร่เชื้อในสังคม หากตรวจพบเชื้อในระยะเริ่มต้น และเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อสามารถควบคุมไวรัสให้ไม่ตรวจพบในเลือด หรือที่เรียกว่า Undetectable ซึ่งหมายถึง ไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ หรือรู้จักกันในแนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable) การรู้ผลเร็ว และเริ่มต้นรักษาไว จึงไม่เพียงปกป้องสุขภาพของตนเอง แต่ยังช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสังคมอย่างยั่งยืน
วิธีการตรวจเอชไอวีในปัจจุบัน มีกี่แบบ
การตรวจเอชไอวีในปัจจุบัน มีให้เลือกหลายวิธีตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล โดยแต่ละวิธีมีจุดเด่น ความรวดเร็ว และระดับความแม่นยำที่ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ ระยะเวลาหลังเสี่ยง และสถานที่ที่เข้ารับการตรวจ การเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสม จะช่วยให้ได้ผลที่ถูกต้องที่สุด พร้อมวางแผนดูแลสุขภาพได้อย่างมั่นใจ
1. การตรวจเอชไอวี แบบรู้ผลเร็ว (Rapid Test)
วิธีนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ใช้ตัวอย่างเลือดปลายนิ้ว หรือสารคัดหลั่งในช่องปาก รู้ผลภายใน 15-20 นาที เหมาะสำหรับการตรวจเบื้องต้นในคลินิก หรือหน่วยบริการเคลื่อนที่ ความแม่นยำค่อนข้างสูง โดยเฉพาะเมื่อเลยระยะฟักตัว (Window Period) ไปแล้ว หากผลเป็นบวก (Reactive) จะต้องตรวจยืนยันซ้ำด้วยวิธีมาตรฐาน
2. การตรวจเอชไอวีแบบ Anti-HIV
เป็นการตรวจหาแอนติบอดี (Anti-HIV) ที่ร่างกายสร้างขึ้นหลังจากได้รับเชื้อ ซึ่งมักจะเริ่มตรวจพบได้ในช่วง 3–4 สัปดาห์หลังมีความเสี่ยง วิธีนี้เป็นมาตรฐานที่ใช้กันมายาวนาน เช่น การตรวจด้วยเทคนิค ELISA หรือ EIA รุ่นก่อนหน้า ถึงแม้จะไม่สามารถตรวจพบการติดเชื้อในช่วงต้นได้ดีนัก แต่ก็ให้ความแม่นยำสูงในระยะเวลาที่เหมาะสม
3. การตรวจเอชไอวีแบบ p24
วิธีนี้เน้นการตรวจหาโปรตีน p24 ซึ่งเป็นส่วนประกอบของไวรัสเอชไอวีและสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ หลังการติดเชื้อ คือประมาณ 2–3 สัปดาห์ ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มสร้างแอนติบอดี การตรวจแบบ p24 มักถูกรวมอยู่ในชุดตรวจ HIV รุ่นที่ 4 (4th Generation Test) ที่สามารถตรวจได้ทั้งแอนติเจน p24 และแอนติบอดีในครั้งเดียว เพิ่มโอกาสในการตรวจพบเชื้อในระยะเริ่มต้น
4. การตรวจเอชไอวีแบบ NAT หรือ PCR
เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรงผ่านสารพันธุกรรมของไวรัส (RNA หรือ DNA) สามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วที่สุดในบรรดาวิธีทั้งหมด บางครั้งใช้ตรวจในกรณีหลังรับความเสี่ยงเพียง 7–10 วัน หรือนำไปใช้ในผู้ที่ต้องการความมั่นใจสูงเป็นพิเศษ เช่น ผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้ PEP หรือมีผลตรวจที่ไม่ชัดเจน วิธีนี้มีความแม่นยำสูงมาก แต่มีต้นทุนที่สูง และมักให้บริการเฉพาะในโรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการเฉพาะทาง
5. การตรวจเอชไอวี ด้วยตัวเอง (HIV Self Test)
เป็นทางเลือกใหม่ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย ชุดตรวจด้วยตัวเอง สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยา หรือช่องทางออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ โดยมักเป็นการตรวจแอนติบอดีจากเลือดปลายนิ้ว หรือสารคัดหลั่งจากช่องปาก ผู้ใช้งาน สามารถทำการตรวจได้เองที่บ้าน โดยรู้ผลภายในเวลาไม่กี่นาที หากผลเป็นบวก (Reactive) ควรรีบเข้ารับการตรวจยืนยันกับแพทย์โดยเร็ว ข้อดีของวิธีนี้คือ ความสะดวก เป็นส่วนตัว และช่วยให้คนที่ไม่กล้าไปตรวจที่คลินิก สามารถเข้าถึงการตรวจได้ง่ายขึ้น
แล้วตรวจเอชไอวีเมื่อไร? จึงเหมาะสมที่สุด
การตรวจเอชไอวีเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการรู้สถานะสุขภาพทางเพศของตนเองอย่างชัดเจน แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ “จังหวะเวลาในการตรวจ” เพราะหากตรวจเร็วเกินไป อาจเกิดผลลบปลอม (False Negative) ได้ เนื่องจากร่างกายยังไม่สร้างสารที่สามารถตรวจจับได้ในช่วงเวลานั้น ซึ่งเรียกกันว่า ระยะฟักตัว (Window Period)
โดยทั่วไป ระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจเอชไอวี ขึ้นอยู่กับลักษณะของการตรวจที่เลือก:
- การตรวจแบบ Rapid Test และ Anti-HIV: ควรตรวจหลังมีความเสี่ยงอย่างน้อย 3 สัปดาห์ (21 วัน) ขึ้นไป เพื่อให้ร่างกายมีเวลาสร้างแอนติบอดี ในระดับที่สามารถตรวจพบได้ หากต้องการผลที่แม่นยำยิ่งขึ้น ควรรอตรวจหลัง 4–6 สัปดาห์
- การตรวจแบบ p24 (4th Generation Test): สามารถตรวจได้เร็วกว่า โดยเหมาะกับการตรวจตั้งแต่ 2 สัปดาห์ (14 วัน) หลังความเสี่ยง และมีความแม่นยำสูง เมื่อเลย 28 วันไปแล้ว
- การตรวจแบบ NAT/PCR: เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการตรวจเร็วที่สุดหลังความเสี่ยง ใช้ได้ตั้งแต่ 7-10 วัน โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มใช้ PEP หรือมีความเสี่ยงสูงมาก ๆ
หากตรวจครั้งแรก แล้วยังอยู่ในช่วงระยะเสี่ยง ควรมีการตรวจซ้ำอีกครั้ง ในเวลาที่เหมาะสม เช่น ภายใน 1 เดือน หรือ 3 เดือน หลังมีความเสี่ยง เพื่อยืนยันผล
เตรียมตัวอย่างไร? เมื่อต้องทำการตรวจเอชไอวี
การตรวจเอชไอวีไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคุณเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ จะช่วยให้ขั้นตอนเป็นไปอย่างราบรื่น และช่วยให้คุณเข้าใจผลตรวจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะหากเป็นการตรวจครั้งแรก สิ่งที่ควรรู้และควรเตรียมมีดังนี้:
- เตรียมข้อมูลวัน-เวลาเสี่ยงล่าสุด
- คุณควรรู้ระยะเวลาหลังเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ป้องกันเมื่อไหร่ หรือกี่วันแล้ว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประเมินว่า คุณควรตรวจเอชไอวีด้วยวิธีใด และควรตรวจตอนนี้เลยหรือต้องรอระยะฟักตัว เพื่อผลที่แม่นยำ
- ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนตรวจ
- การเจาะเลือด เพื่อหาเชื้อ HIV นั้น ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อน สามารถรับประทานมาได้ตามปกติ แต่ควรงดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ แต่หากมีการตรวจโรคอื่นร่วมด้วย ควรสอบถามคลินิกก่อนเข้ารับบริการ
- ทำใจให้สบาย และเปิดใจรับข้อมูล
- หลายคนกังวลและเครียดมาก เมื่อต้องตรวจเอชไอวี แต่ความจริงคือ การรู้สถานะของตัวเอง จะทำให้คุณสามารถวางแผนชีวิตได้ดีขึ้น ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร อย่าลืมว่ามีทางดูแลรักษา และมีคนพร้อมให้คำปรึกษาเสมอ
- เลือกสถานที่ตรวจเอชไอวีที่เชื่อถือได้
- ตรวจเอชไอวีควรทำในสถานบริการที่ได้มาตรฐาน เช่น โรงพยาบาล คลินิกเฉพาะทาง หรือศูนย์บริการที่ได้รับการรับรอง เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องของผลตรวจ และได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ
ผลตรวจเอชไอวี มีกี่แบบ?
เมื่อคุณได้รับผลตรวจเอชไอวี ไม่ว่าจะตรวจด้วยวิธีใด สิ่งสำคัญคือ การเข้าใจความหมายของผลที่ได้รับ เพื่อจะได้ดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม ไม่ตื่นตระหนก และไม่เข้าใจผิด เพราะผลตรวจแต่ละแบบอาจมีข้อจำกัดเรื่องช่วงเวลา ความแม่นยำ และการแปลผลที่แตกต่างกัน
ประเภทผลตรวจ | ความหมาย | ข้อควรระวัง | คำแนะนำ |
ผลลบ (Negative/Non-Reactive) | ไม่พบเชื้อเอชไอวี | หากตรวจเร็วเกินไป อาจยังอยู่ในระฟักตัว ผลอาจไม่แม่นยำ | ตรวจซ้ำที่ 1 เดือน และ 3 เดือน หากยังมีความเสี่ยงต่อเนื่อง ควรใช้ถุงยาง หรือปรึกษาเรื่อง PrEP |
ผลบวก (Positive/Reactive) | พบเชื้อเอชไอวี | ผลนี้ยังไม่ใช่ “ผลยืนยัน” ต้องตรวจซ้ำโดยห้องปฏิบัติการ | ไปตรวจยืนยันทันที หากผลยืนยันเป็นบวก ให้เข้าสู่ระบบดูแลรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) |
ผลไม่แน่ชัด (Invalid) | สรุปผลไม่ได้ | เกิดได้ทุกช่วง หากขั้นตอนตรวจผิดพลาด หรืออยู่ในระยะที่ร่างกายยังไม่สร้างสารให้ตรวจเจอ |
ควรตรวจใหม่ทันที หรือเปลี่ยนสถานที่/วิธีตรวจ และแจ้งเจ้าหน้าที่ |
การตรวจเอชไอวีเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้เร็ว รักษาเร็ว และเข้าใจว่าทุกคนมีสิทธิที่จะใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ เท่ากันและปลอดภัย หากคุณได้รับผลตรวจแล้ว และไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรต่อ สามารถพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือคลินิกที่เชี่ยวชาญได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สำหรับผู้ที่คิดว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และต้องการเข้ารับการตรวจ สามารถเข้ารับการตรวจได้ฟรีที่โรงพยาบาลรัฐ หรือสถานพยาบาล ภายใต้ระบบประกันสุขภาพ จำนวน 2 ครั้งต่อปี รวมถึงสามารถเข้ารับการตรวจจากโรงพยาบาลเอกชน ศูนย์สุขภาพ แล็ปตรวจโรค คลินิกพิเศษ และคลีนิคนิรนามตามจังหวัดต่าง ๆ ได้ตามความสะดวก ซึ่งผู้ที่ต้องการตรวจ ควรสอบถามรายละเอียด เงื่อนไข ค่าใช้จ่าย เอกสารต่างๆ เพื่อความสะดวกรวดเร็วก่อนเข้ารับบริการ หรือเข้าที่เว็บ https://www.love2test.org
ประโยชน์ของ การตรวจเอชไอวี
การตรวจเอชไอวีไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อ “รู้ว่าติดหรือไม่” เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ตรวจเอง และคนรอบข้าง เพราะการรู้สถานะของตนเองตั้งแต่เนิ่น ๆ จะนำไปสู่การดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ และลดโอกาสในการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว
- รู้สถานะสุขภาพของตนเอง: การตรวจเอชไอวีคือวิธีเดียวที่จะรู้แน่ชัดว่าคุณติดเชื้อหรือไม่ การคาดเดาจากอาการไม่สามารถใช้ได้กับเอชไอวี เพราะในระยะแรกผู้ติดเชื้อจำนวนมากมักไม่มีอาการเลย การตรวจจึงเป็นก้าวแรกของการรู้จักและดูแลร่างกายตนเองอย่างแท้จริง
- เข้าสู่กระบวนการรักษาได้เร็ว หากพบเชื้อ: หากตรวจพบว่าเป็นบวก การเข้าสู่การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างรวดเร็วจะช่วยควบคุมไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable) ซึ่งจะช่วยปกป้องระบบภูมิคุ้มกัน และลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้อย่างมาก
- ลดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น: เมื่อทราบผลเร็วและเริ่มการรักษา ผู้มีเชื้อที่กินยาต่อเนื่องและควบคุมไวรัสได้จนตรวจไม่พบ จะไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์อีก (U=U หรือ Undetectable = Untransmittable) นี่คือความรู้ใหม่ที่ช่วยสร้างความเข้าใจและลดการตีตราในสังคม
- วางแผนชีวิต และความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น: การรู้ผลตรวจช่วยให้คู่รัก คู่ชีวิต หรือผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร สามารถวางแผนอนาคตได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการป้องกัน การตั้งครรภ์ หรือการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีคุณภาพ
- เสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง: เมื่อรู้สถานะของตัวเองอย่างชัดเจน จะช่วยลดความกังวลใจจากความไม่แน่นอน ทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจมากขึ้น และตัดสินใจในเรื่องเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีข้อมูล ไม่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น
ค่าใช้จ่าย การตรวจเอชไอวี ราคาเท่าไหร่?
ราคาค่าบริการตรวจหาเชื้อเอชไอวีในปัจจุบันนั้น สามารถเข้ารับการตรวจฟรีในโรงพยาบาลรัฐ หรือสถานพยาบาลภายใต้ระบบประกันสุขภาพ หรือโรงพยาบาลเอกชน ศูนย์สุขภาพ แล็ปตรวจโรค คลินิกพิเศษ รวมถึงคลินิกนิรนามตามจังหวัดต่าง ๆ โดยราคาในการตรวจจะเริ่มตั้งแต่ 200-1,500 บาท ทั้งนี้ควรสอบถามสถานพยาบาลนั้นๆ เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องก่อนเข้ารับบริการ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ การตรวจเอชไอวี
= โดยทั่วไปการตรวจเอชไอวีไม่เจ็บเลย หรืออาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หากเป็นการเจาะเลือดปลายนิ้ว หรือเส้นเลือดดำ ส่วนการตรวจจากน้ำลาย (Oral Fluid) หรือใช้ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง ไม่เจ็บเลย
= ใช่ ข้อมูลผลตรวจ และประวัติของผู้รับบริการ จะถูกเก็บเป็นความลับตามกฎหมาย และในหลายแห่งยังมีบริการแบบไม่ระบุตัวตน (Anonymous Testing) เพื่อความสบายใจของผู้เข้ารับการตรวจ
= ไม่ หากติดเชื้อแล้ว ผลตรวจจะยังคงแสดงว่าเป็นบวก แม้จะกินยาจนไวรัสในเลือดอยู่ในระดับตรวจไม่พบ แต่ถ้าตรวจเร็วหลังรับเชื้อ และเริ่มยาทันที (เช่น กรณี PEP) ผลอาจยังไม่แสดง ต้องใช้วิธีตรวจเฉพาะ และประเมินร่วมกับแพทย์
= ได้ หลายคลินิกให้บริการตรวจ HIV พร้อมกับโรคอื่น เช่น ซิฟิลิส หนองใน เริม ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และ HPV ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการประเมินสุขภาพทางเพศแบบครบวงจร
อ่านบทความอื่น ๆ เกี่ยวกับ การตรวจเอชไอวี
- ตรวจเอชไอวี (HIV) มีกี่วิธี เจาะลึกทุกขั้นตอน
- หมดกังวลตรวจ HIV ช่วงไหนดี พร้อมข้อมูลสำคัญ
- ทำไมต้องตรวจเอชไอวีซ้ำ!
สรุป: การตรวจเอชไอวีคือก้าวแรกของการดูแลสุขภาพที่แท้จริง
การตรวจเอชไอวีไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะทุกคนล้วนมีสิทธิ์ที่จะรู้สถานะสุขภาพของตนเอง และใช้ข้อมูลนั้นในการวางแผนชีวิตอย่างมั่นใจ ยิ่งตรวจเร็ว ยิ่งมีโอกาสดูแลรักษาได้ทันเวลา และหากผลเป็นลบ ก็จะได้สบายใจและป้องกันตัวเองต่อไปได้อย่างเหมาะสม ปัจจุบันมีวิธีตรวจที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และเป็นส่วนตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจที่คลินิก โรงพยาบาล หรือด้วยชุดตรวจด้วยตนเอง การตัดสินใจเข้ารับการตรวจเอชไอวีจึงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการดูแลตนเอง และแสดงความรับผิดชอบต่อคนรอบข้างอย่างแท้จริง
“อย่ารอให้มีอาการ หรือรอจนถึงเวลาที่ “สายเกินไป”
เพราะการรู้สถานะของตัวเองวันนี้ อาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้ตลอดไป”
อ้างอิงข้อมูลจาก:
การตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV Testing)
แนวทางเวชปฏิบัติ HIV/AIDS ประเทศไทย
การตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV)