ตับอักเสบบี เรียนรู้และเข้าใจโรค

ตับอักเสบบี เรียนรู้และเข้าใจโรค

ตับอักเสบบี ถูกตรวจพบในประชากรของประเทศไทยในอัตราที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ และทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย หากเป็นต่อเนื่องเรื้อรังจะเกิดพังผืดที่ตับ อันก่อให้เกิดโรคตับแข็ง และโรคมะเร็งตับได้ ซึ่งเป็นโรคมะเร็งประเภทที่พบมากที่สุดในหมู่คนไทย

ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร ?

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus; HBV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายอย่างยิ่ง หากได้รับเชื้อแล้วไม่ได้รับรักษา อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง ตับวาย ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยสามารถติดต่อผ่านทางการคลอด การสัมผัสเลือดหรือแผลเปิดของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ และการใช้อุปกรณ์ที่แหลมคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด หรือแปรงสีฟัน

อาการของไวรัสตับอักเสบบี แบ่งได้เป็น 2 ระยะ

อาการของไวรัสตับอักเสบบี แบ่งได้เป็น 2 ระยะ
  1. ไวรัสตับอักเสบบี ระยะเฉียบพลัน มีอาการเป็นเวลา 6 เดือนหรือน้อยกว่า
  2. ไวรัสตับอักเสบบี ระยะเรื้อรัง มีอาการนานกว่า 6 เดือน

อาการที่อาจพบได้ในแต่ละระยะ

ตับอักเสบบี ระยะเฉียบพลัน

  • ไข้
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • ปัสสาวะเหลืองเข้ม
  • ตาเหลือง
  • ดีซ่าน

ตับอักเสบบี ระยะเรื้อรัง

  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • ปวดท้อง
  • น้ำหนักลด
  • ดีซ่าน

หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษามีโอกาสเสี่ยงต่อ โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ

ตับอักเสบบี ติดต่อได้อย่างไร ?

  • ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
  • ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้จากการติดเชื้อขณะลูกคลอดจากแม่ที่มีเชื้อนี้อยู่ (มีโอกาสได้รับเชื้อมากถึง 90%) หากไม่ได้รับการตรวจรักษาก่อนวางแผนมีบุตร
  • ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้จากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้จากการใช้เข็มเจาะ สักตามตัวร่วมกัน และการเจาะหูที่ไม่ได้ทำจากอุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างมีมาตรฐาน
  • ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้จากการใช้แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น
  • ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้จากการถูกเข็มทิ่มตำจากการทำงาน ในกรณีของบุคลากรทางการแพทย์
  • ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้จากการสัมผัสกับเลือด หรือสารคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล

สิ่งที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับ ตับอักเสบบี

  • ไวรัสตับอักเสบบี ไม่ติดต่อผ่านการกอด
  • ไวรัสตับอักเสบบี ไม่ติดต่อผ่านการใช้ห้องน้ำร่วมกัน
  • ไวรัสตับอักเสบบี ไม่ติดต่อผ่านการใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน
  • ไวรัสตับอักเสบบี ไม่ติดต่อผ่านการรัปทานอาหารและใช้ช้อนส้อมร่วมกัน

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี

ตรวจเลือดประเมินดู HBeAg และ HBeAb ซึ่งเป็นตัวที่บ่งบอกว่าโรคอยู่ในระยะที่ไวรัสกำลังแบ่งตัวหรือผ่านระยะที่ไวรัสแบ่งตัวไปแล้ว ตรวจ ALT (alanine aminotransferase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่อยู่ในเซลล์ตับ ถ้าค่าอยู่ในระดับปกติให้ติดตาม ALT ทุก 3 – 6 เดือน ในกรณีที่ HBeAg เป็นลบแต่ผู้ป่วยมี ALT ผิดปกติ หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ เช่น ผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี มีภาวะตับแข็งและมะเร็งตับในครอบครัว ตรวจร่างกายพบลักษณะของการมีโรคตับเรื้อรัง ALT อยู่ในเกณฑ์มากกว่าครึ่งหนึ่งของค่าปกติ อัลตราซาวนด์มีลักษณะผิดปกติของตับ ควรตรวจดูปริมาณไวรัสตับอักเสบบีร่วมด้วย เจาะเลือดตรวจค่าการทำงานของตับ (liver function test)

เจาะเลือดตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

HBsAg (แอนติเจนไวรัสตับอักเสบบี) : ให้ผลบวก แปลว่า ผู้ป่วยกำลังมีเชื้อไวรัส ตับอักเสบบี
Anti-HBS (ภูมิคุ้มกันต่อ HBsAg) : ให้ผลบวก แปลว่า ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับการฉีดวัคซีนหรือเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบและหายจากโรคแล้ว ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันจึงไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น และไม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอีก

การวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ต้องเจาะเลือดตรวจซ้ำอีกครั้งที่ 6 เดือนหลังจากวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน หากพบว่าร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ จึงจะวินิจฉัยว่าเป็น “โรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง

การตัดชิ้นเนื้อจากตับไปตรวจ แพทย์จะใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังเพื่อเก็บชิ้นเนื้อจากตับ การตรวจนี้ไม่ได้ทำในผู้ป่วยทุกราย ทำเฉพาะในผู้ป่วย ตับอักเสบเรื้อรัง ที่ต้องการติดตามการดำเนินไปของโรค เช่น ต้องการทราบภาวะพังผืดในตับและการอักเสบของเซลล์ตับ ซึ่งจะมีผลในการเริ่มต้นการรักษา หรือสงสัยมะเร็งตับ เป็นต้น

การรักษาไวรัส ตับอักเสบบี

การรักษาไวรัส ตับอักเสบบี

ปัจจุบันยาที่ใช้ในการรักษาไวรัส ตับอักเสบบี มี 2 กลุ่มได้แก่ ยาฉีด pegylated-interferon alpha และยารับประทาน (oral nucleoside/nucleotide analogs) โดยคุณสมบัติที่แตกต่างกันของการรักษาด้วย 2 วิธีมีดังต่อไปนี้

ยาฉีด pegylated-interferon alph

  • ออกฤทธิ์เป็น immunomodulator โดนหวังผลให้เกิด long-term immunological control จึงไม่มีปัญหาเรื่อง HBV resistance
  • มีระยะเวลาการรักษาที่แน่นอน
  • พบผลข้างเคียงได้บ่อย เช่น flu-like symptoms, fatigue, mood disturbances, cytopenias, autoimmune disorder
  • ไม่สามารถใช้ได้ในผู้ป่วย decompensated cirrhosis
  • การตัดสินใจรักษาด้วยยากลุ่มนี้ควรใช้ข้อมูลอื่นมาประกอบ เช่น HBV DNA, HBeAg หรือ HBsAg titer เพื่อช่วยในการประเมินโอกาสการตอนสนองต่อการรักษา

ยารับประทานชนิด oral nucleoside/nucleotide analogs

  • ออกฤทธิ์ยังยั้งการแบ่งตัวของไวรัส จึงอาจทำให้เกิด HBV resistance เมื่อรักษาไประยะหนึ่ง โดยยากลุ่มนี้แบ่งย่อยเป็นอีก 2 กลุ่มตามโอกาสในการเกิด HBV
  • resistance คือ low barrier to resistance (ได้แก่ lamivudine, adefovir และ telbivudine) และ high barrier to resistance (ได้แก่ entecavir, tenofovir disoproxil
  • fumarate (TDF) และ tenofovir alafenamide (TAF))
  • ไม่มีระยะเวลาการรักษาแน่นอน คือรับประทานยาไปจนกว่าจะถึง treatment endpoint คือ HBeAg seroconversion ใน HBeAg positive หรือ HBsAg
  • loss/seroconversion ใน HBeAg negative
  • พบผลข้างเคียงได้แต่มักไม่รุนแรง เช่น lamivudine (เกิด pancreatitis, lactic acidosis) หรือ TDF (nephropathy, Fanconi syndrome, osteomalacia, lacticacidosis)

วิธีป้องกันไวรัส ตับอักเสบบี

วิธีป้องกันไวรัส ตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน กลุ่มคนที่เข้าข่ายควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีมากที่สุด ได้แก่ เด็กทารกแรกเกิด แต่ผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีภูมิต้านทานหรือไม่ได้รับวัคซีนตั้งแต่ตอนเด็ก หากต้องการฉีดควรทำการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และตรวจภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบบีเสียก่อน กลุ่มเสี่ยงจริงๆ ที่แพทย์เน้นย้ำให้ฉีดวัคซีนป้องกัน คือ บุคคลที่อยู่ในครอบครัวของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี ผู้ที่มีความเสี่ยงบ่อย ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันบ่อยครั้ง โดยการฉีดจะต้องฉีดให้ครบจำนวน 3 เข็ม จึงจะสามารถป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีได้

อาการของไวรัสตับอักเสบบี ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ผู้ป่วยระยะเฉียบพลันส่วนใหญ่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยระยะเรื้อรังอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดท้อง น้ำหนักลด และดีซ่าน ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่ โรคตับแข็ง มะเร็งตับ และภาวะตับวาย การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และหลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งจากผู้อื่น

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อทำให้คุณพบกับความแตกต่างจากผู้ใช้อื่น ๆ ของเว็บไซต์ของเรา Cookies policy ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์ ที่ดีเมื่อคุณติดตามเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราและยังช่วยให้เราในการปรับปรุงเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณใช้งานเว็บไซต์ของเรา ถือว่าคุณได้ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ Cookie settings

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว บันทึกการตั้งค่า