ถุงยางอนามัย ถือเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ช่วยให้กิจกรรมทางเพศของคุณ มีความสุข และยังปลอดภัยจากโรคได้ดีเลยทีเดียว ถุงยางอนามัยยังเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นวิธีการคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ได้ผลดีที่สุด เชื่อว่าทุกคนก็คงเคยใช้ถุงยางอนามัยมาแล้ว เพียงแต่ยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก หรือบางคนก็เลือกใช้ด้วยวิธีที่ผิดอย่างเช่น การสวมถุงยางอนามัยสองชั้น ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยจริงๆ วันนี้ เราจะมาให้ข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถุงยางอนามัย เริ่มต้นมาจาก
ถุงยางอนามัย หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Condom ซึ่งมาจากภาษาละติน Condus ที่แปลว่า ภาชนะรองรับ หรือถุงใส่ข้าว จากการบันทึกทางประวัติศาสตร์พบว่า ในสมัยของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งประเทศอียิปต์โบราณ เมื่อกว่า 5,000 ปีมาแล้ว มีการนำลำไส้ของสัตว์มาทำให้คล้ายกับอวัยวะเพศชายใช้สวมขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ต่อมาได้มีการนำผ้าลินิน มาเป็นปลอกสวมอวัยวะเพศชาย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ
หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการนำเอาลำไส้ของแกะ และยางธรรมชาติมาใช้ผลิตถุงยางอนามัย จนเริ่มมีการใช้ถุงยางอนามัยที่ประเทศฝั่งยุโรป อีกทั้งยังมีการรณรงค์ให้มีการป้องกันนี้มากขึ้น เพราะช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มีทหารที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลจึงเล็งเห็นความสำคัญของการใช้ถุงยางอนามัย นับตั้งแต่นั้นมา
ถุงยางอนามัย มีกี่ประเภท
ถุงยางอนามัย จะแบ่งตามวัสดุที่ใช้ทำขึ้นมา โดยมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
ถุงยางอนามัยที่ทำจากลำไส้สัตว์
ผลิตจากลำไส้ส่วนล่างของแกะ สวมใส่แล้วให้ความรู้สึกสบายเหมือนไม่ได้สวมอยู่ จึงทำให้ความรู้สึกดีขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่ถุงยางอนามัยชนิดนี้ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากมีราคาแพง และยังไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เพราะผิวของวัสดุที่นำมาทำถุงยางอนามัยมีรูพรุนเล็กๆ ที่กันได้เฉพาะน้ำอสุจิเท่านั้น
ถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ
ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ที่มีความบาง และยืดหยุ่นได้ดีกว่าแบบแรก สวมใส่แล้วให้ความรู้สึกกระชับแนบเนื้อ สามารถใช้คุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และมีราคาไม่แพง หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป
ถุงยางอนามัยที่ทำจากสารสังเคราะห์
ผลิตจากสารโพลียูริเทน (Polyurethane) หรือที่นิยมเรียกกันว่า PU ที่มีความคงทนกว่าแบบน้ำยางธรรมชาติ สวมใส่แล้วให้ความรู้สึกที่ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้น้ำยางธรรมชาติ สามารถใช้คุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ อีกทั้งยังสามารถใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันร่วมด้วย ซึ่งไม่มีผลทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพแต่อย่างใด
ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง
ถุงยางอนามัยของผู้หญิงจะมีลักษณะเป็นถุงโปร่งแสง ทรงกระบอก ปลายมน ทำจากโพลียูริเทน มีห่วงติดอยู่ หรือเรียกว่า “ขอบนอก” มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร ภายในก้นถุงยางอนามัยเป็นปลายตัน และมีห่วงอีกหนึ่งอันอยู่ด้านใน หรือเรียกว่า “ขอบใน” มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร ถุงยางอนามัยผู้หญิงจะมีความเหนียวทนทาน บางกว่า และนุ่มกว่า โดยเฉพาะถุงยางอนามัยที่ทำจากยาง Latex จะสามารถแนบไปกับผิวช่องคลอดได้ดีกว่าวัสดุอื่น ทำให้ผู้หญิงเราสามารถป้องกันตัวเองจากการมีเพศสัมพันธ์ได้
ถุงยางอนามัยแบบนี้ จะเหมาะกับคู่รักที่ฝ่ายชายไม่ชอบสวมถุงยางอนามัย เพราะขนาดของถุงยางอนามัยผู้หญิงมีความกว้าง และไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดขณะมีกิจกรรม แต่ถุงยางอนามัยของผู้หญิงนี้ยังไม่เป็นที่นิยมกันมากนัก เพราะผู้หญิงบางคนก็รู้สึกว่าเวลาใช้งานค่อนข้างลำบาก รูปร่างเทอะทะ แอบกังวลว่าจะหลุดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ หากช่องคลอดของผู้หญิงมีขนาดเล็ก ที่สำคัญ ถุงยางอนามัยของผู้หญิงมีราคาแพงกว่าของผู้ชายหลายเท่า
การเลือกซื้อถุงยางอนามัย
เลือกรูปแบบ และขนาดของถุงยางอนามัยที่เหมาะสม
ขนาดของถุงยางอนามัย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในการเลือกใช้งานแต่ละครั้ง เพราะหากคุณสวมถุงยางที่มีขนาดใหญ่เกินไป อาจเกิดการหลุดขณะที่มีเพศสัมพันธ์ได้ หรือหากสวมถุงยางอนามัยที่มีขนาดเล็กเกินไป อาจเกิดการฉีกขาด หรือแตกรั่วได้เช่นกัน ในประเทศไทยจะมีจำหน่ายเพียง 2 ขนาด คือ
- ขนาดกว้าง 49 มิลลิเมตร ยาว 160 มิลลิเมตร
- ขนาดกว้าง 52 มิลลิเมตร ยาว 180 มิลลิเมตร
ใครที่เพิ่งเคยใช้ถุงยางอนามัย อาจลองเลือกซื้อต่างขนาดกัน และนำมาสวม เพื่อดูว่าขนาดไหนจึงจะพอเหมาะกับองคชาติของคุณ หรือใช้วิธีวัดขนาดแบบง่ายๆ คือ ใช้สายวัด วัดเส้นรอบวงช่วงกึ่งกลางขององคชาติในขณะที่กำลังแข็งตัวเต็มที่ (หน่วยมิลลิเมตร) ได้เท่าไรแล้วให้เอาจำนวนนั้นหารด้วย 2 เช่น ถ้าวัดเส้นรอบวงได้ 104 มิลลิเมตร หารด้วย 2 ก็จะได้ถุงยางอนามัยเบอร์ 52 เป็นต้น แต่โปรดจำไว้ว่าขนาดของถุงยางอนามัยที่ดี จะต้องใส่แล้วรู้สึกสบาย ไม่รัด และไม่หลวมมากจนเกินไป
รูปแบบของถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัยยังแบ่งออกตามลักษณะผิว กลิ่น สี และอื่นๆ เนื่องด้วย การที่ผู้ผลิตได้ทำออกมาให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน โดยมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่
- วัสดุที่ผลิตถุงยางอนามัย จากลำไส้สัตว์ น้ำยางธรรมชาติ และสารสังเคราะห์
- ขนาดของถุงยางอนามัย จะมีตั้งแต่ขนาด 44-56 มิลลิเมตร
- ความบางของถุงยางอนามัย มาตรฐานทั่วไปจะมีความหนาประมาณ 0.05-0.07 มิลลิเมตร และมีรุ่นที่บางพิเศษ คือ 0.02-0.01 มิลลิเมตรออกมาจำหน่ายด้วย
- รูปทรง แบบกระบอกตรงธรรมดา และแบบลูกคลื่น และผิวถุงยางมีทั้งแบบเรียบ แบบผิวไม่เรียบ และแบบขรุขระที่ช่วยสร้างความรู้สึกระหว่างร่วมเพศได้มากขึ้น
- มีการเพิ่มกลิ่น และรสชาติเข้าไปหลายรสชาติ เพื่อเอื้ออำนวยต่อกิจกรรมทางเพศอย่าง ออรัลเซ็กส์
- สี มีทั้งแบบใส แบบขุ่น แบบสีเดี่ยว สีหลายสี และแบบเรืองแสงก็มีด้วยเช่นกัน
- เพิ่มสารอื่นๆ เข้าไปด้วย เช่น สารหล่อลื่นพิเศษ สารชะลอการหลั่งน้ำอสุจิ สารฆ่าเชื้ออสุจิ สารป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
ตรวจสอบถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัยที่พร้อมใช้งาน จะต้องยังไม่หมดอายุ และมีสภาพปกติ ใครที่ชอบเก็บถุงยางอนามัยไว้ในรถยนต์ที่จอดตากแดดร้อนๆ หรือในอุณหภูมิห้องที่มีความชื้นสูง จะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพได้เร็วมากขึ้น รวมไปถึง การเก็บถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าสตางค์ก็จะทำถูกกดทับบ่อย จนเป็นเหตุทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย
วิธีใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง
- เริ่มฉีกซองถุงยางอนามัยอย่างระมัดระวัง ควรฉีกที่บริเวณขอบซองด้านใดด้านหนึ่ง อย่าให้เล็บ หรือฟันฉีกโดนตัวถุงยางอนามัย ไม่ควรใช้มีด หรือกรรไกรตัดซอง เพราะอาจตัดไปโดนถุงยางอนามัยจนฉีกขาดได้
- ควรสวมถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเท่านั้น โดยก่อนใส่ให้บีบกระเปาะตรงปลายถุง เพื่อไล่ลมออก ทำการสวมลงไป และรูดให้สุดโคนอวัยวะเพศ และต้องให้แน่ใจว่าสวมคลุมจนสุดพอดีแล้ว
- หากมีกิจกรรมนานกว่า 30 นาที ควรเปลี่ยนถุงยางอนามัยอันใหม่ เพื่อลดการเสื่อมสภาพ และไม่ควรใช้อันเก่าซ้ำ เนื่องจากถุงยางอนามัยถูกออกแบบมาให้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
- เมื่อเสร็จกิจแล้วให้ถอดถุงยางอนามัยออกขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัวอยู่
- ทิ้งถุงยางอนามัยโดยใส่ในซอง และห่อกระดาษทิชชู่อีกชั้นหนึ่ง ลงในถังขยะที่ปิดมิดชิด ไม่ควรทิ้งถุงยางอนามัยลงในชักโครก เพราะอาจทำให้ส้วมตันได้
- ระหว่างมีเพศสัมพันธ์หากถุงยางอนามัยหลุดออก หรือแตกรั่ว ควรรีบถอดถุงยางอนามัยทิ้งทันที และรีบไปพบแพทย์ เพื่อติดต่อขอรับเป็ป (PEP) หรือยาต้านฉุกเฉิน
ข้อดี และข้อเสียของถุงยางอนามัย
- ป้องกันการตั้งครรภ์ ช่วยคุมกำเนิดได้ดี
- ป้องกันเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
- ช่วยทำให้มีกิจกรรมทางเพศที่ยาวนานขึ้น ยืดเวลาการหลั่งน้ำอสุจิในเพศชาย
- เป็นอุปกรณ์ป้องกันที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และพกพาสะดวก
ถึงแม้ว่า ถุงยางอนามัยจะมีข้อดีมากมาย แต่ถุงยางอนามัยเองก็ไม่อาจป้องกันการตั้งครรภ์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้เต็ม 100% เพราะยังมีการติดต่อจากการสัมผัสเสียดสีของผิวหนังที่ถุงยางอนามัยครอบไม่ถึง นอกจากนี้ บางคนไม่รู้วิธีเก็บ และวิธีใช้ที่ถูกต้อง ก็ส่งผลให้การใช้ถุงยางอนามัยไม่ได้ผลเต็มที่
จะเห็นได้ว่า ถุงยางอนามัย หากเลือกใช้ให้เป็นจะเกิดประโยชน์กับผู้ใช้มากมาย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และวัยเริ่มทำงานใหม่ๆ บางครั้งอาจรู้สึกเขินอาย เวลาไปร้านสะดวกซื้อ และต้องหยิบถุงยางอนามัยมาชำระเงินที่เคาน์เตอร์ แต่อยากให้ลองทำความเข้าใจถึงข้อดีของการสวมถุงยางอนามัย เพื่อที่จะได้กล้าซื้อมาใช้ โดยอาจเริ่มจากการซื้อของใช้อย่างอื่นในร้านรวมกัน หรือเดี๋ยวนี้ก็มีร้านค้าออนไลน์ที่จำหน่ายถุงยางอนามัยแล้ว ก็สามารถทำการสั่งซื้อได้โดยไม่ต้องอายใคร โปรดจำไว้ว่า มีเพศสัมพันธ์เมื่อพร้อมต้องมีถุงยางอนามัยเท่านั้นนะครับ