หูดข้าวสุก โรคติดเชื้อไวรัสทางผิวหนัง
โรคหูดข้าวสุก หรือ Molluscum Contagiosum คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus โดยสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสผู้ที่มีเชื้อหูดข้าวสุก พบได้ในทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ทารก วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ซึ่งอาการของโรคมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ รวมถึงมักพบในวัยเจริญพันธุ์จากการติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์อีกด้วย โรคนี้ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเกิดตุ่มเนื้อเล็กๆ มีรอยนูน คล้ายสิว เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังชั้นนอก เช่น ใบหน้า แขน ลำตัว หรือบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งโรคหูดข้าวสุกนั้นจะไม่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดหรือประสาทเหมือนกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

โรคหูดข้าวสุกมีอาการอย่างไร
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสมอลลัสคุมคอนทาจิโอซุม จะไม่มีอาการป่วยผิดปกติจากภายในร่างกาย เช่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย หรือครั่นเนื้อครั่นตัว เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้ไม่มีการเข้าสู่กระแสเลือดได้
โดยเชื้อจะใช้ระยะเวลาในการฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ ไปจนถึง 6 เดือน ก่อนที่ร่างกายผู้ป่วยจะมีอาการที่ชัดเจนคือพบรอยโรคหูดข้าวสุกที่มีลักษณะ เป็นตุ่มเล็ก สีแดง มีความเรียบเงา รูปทรงโดม คล้ายกับเม็ดสิวที่ไม่อักเสบ บางรายแผลอาจมีรอยบุ๋มตรงกลาง สามารถพบได้ทั่วร่างกายไม่ว่าจะเป็น ใบหน้า ลำตัว ท้อง แขน ต้นขา ขา ข้อพับ และอวัยวะเพศ มีขนาดประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ซึ่งหากผู้ป่วยมีระบบภูมิคุ้มกันต่ำหรือมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว รอยโรคหูดข้าวสารอาจมีขนาดใหญ่ถึง 15 มิลลิเมตร
สาเหตุของโรคหูดข้าวสุก
โรคหูดข้าวสุกเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae ที่มีชื่อว่าเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสิ่งแวดล้อมที่ชื้นและอบอุ่น รวมถึงในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจะมีโอกาสเกิดโรคหูดข้าวสุกได้มากกว่า ซึ่งจะเกิดรอยโรคเฉพาะบริเวณผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น โดยการติดเชื้อโรคหูดข้าวสุกมีสาเหตุมาจากการสัมผัสเชื้อไวรัสจากผู้ที่เป็นโรค ผ่านการสัมผัสหรือใช้สิ่งของที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส และการติดเชื้อเมื่อมีเพศสัมพันธ์

ขั้นตอนการวินิจฉัยโรคหูดข้าวสุก
- แพทย์จะทำการซักถามประวัติและวินิจฉัยเบื้องต้น
- ตรวจวินิจฉัยรอยโรคทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อด้วยการขูดผิวหนัง ด้วยวิธีการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือการเก็บตัวอย่าง Biopsy
- กรณีที่พบว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อหูดข้าวสุกบริเวณอวัยวะเพศ แพทย์จะทำการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆร่วมด้วย เพื่อป้องกันติดต่อและลดความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
- แพทย์จะแนะนำให้คู่นอนเข้ารับการตรวจร่วมด้วย เพื่อตรวจหาเชื้อและทำการรักษาได้อย่างทันท่วงทีหากพบว่าติดโรคหูดข้าวสุกหรือโรคทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ
วิธีการรักษาโรคหูดข้าวสุก
ส่วนใหญ่อาการของผู้ป่วยโรคหูดข้าวสุกมักหายได้เองภายใน 6-12 เดือน ซึ่งการรักษาผู้ป่วยมีหลายวิธีโดยแพทย์จะเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมากที่สุด อาจใช้เพียงวิธีเดียวหรือหลายวิธีร่วมกัน เช่น
- การใช้ยาแต้มบริเวณตุ่มหูดข้าวสุก ที่มีส่วนผสมของกรด Salicylic Acid , Potassium Hydroxide , Benzoyl Peroxide , Hydrogen Peroxide
- การรักษาหูดข้าวสุกด้วยยาชนิดรับประทาน เช่น Cimetidine
- การใช้ยาแต้มบริเวณตุ่มหูดข้าวสุกชนิดเจลหรือครีม ที่มีส่วนผสมของ Retinoids
- การจี้หูดข้าวสุกด้วยความเย็น (Cryotherapy / Cryosurgery)
- การรักษาหูดข้าวสุกด้วยเลเซอร์ (Pulsed Dye Laser Therapy)
- การรักษาหูดข้าวสุกด้วยการขูดเนื้อเยื่อ
- การรักษาหูดข้าวสุกด้วยกับการฉีดสารกระตุ้นภูมิ ในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอการรักษา
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดข้าวสุก
ผู้ที่เป็นโรคหูดข้าวสุกอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นบริเวณโดยรอบรอยตุ่มหรือผิวหนัง เช่น
- อาการอักเสบที่เกิดจากการตุ่มหูดติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนโดยการเกา การแกะ การบีบ ทำให้เสี่ยงติดเชื้ออื่นๆได้ง่ายขึ้น
- หากมีรอยโรคบริเวณเปลือกตา อาจส่งผลให้เกิดเยื่อตาอักเสบ
- ผู้ป่วยโรคหูดข้าวสุกที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง อาจเกิดผื่นแดงมีอาการคันร่วมด้วย

การป้องกันโรคหูดข้าวสุก
การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อคือวิธีการป้องกันโรคหูดข้าวสุกได้ดีที่สุด ควบคู่ไปกับการหมั่นดูแลสุขอนามัยของร่างกายอย่างถูกวิธี ดังนั้นควรป้องกันด้วยวิธีการดังนี้
- ไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผิวหนังหรือรอยโรคของผู้ที่เป็นโรคหูดข้าวสุก
- หมั่นล้างมืออย่างสม่ำเสมอหลังจากหยิบจับอุปกรณ์หรือของใช้ส่วนรวม
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีแผลหรือตุ่มบริเวณอวัยวะเพศ
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ตรวจสุขภาพและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
บทความเกี่ยวกับโรหูดข้าวสุก
โรคหูดข้าวสุก หนึ่งโรคติดต่อทางผิวหนัง
หูดหงอนไก่ คืออะไร รักษาหายไหม?