การเดินทางเพื่อความเท่าเทียมทางเพศในประเทศไทย ได้ก้าวเข้าสู่บทใหม่ที่สำคัญ ด้วยการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมที่มีผลตั้งแต่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไปนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่รับรองสิทธิใน การแต่งงานของคู่รัก LGBTQ+ เท่านั้น แต่ยังส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสิทธิในการสร้างครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของ การรับบุตรบุญธรรม บทความนี้ จะสำรวจถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายใหม่นี้ วิเคราะห์ถึงขั้นตอนและกระบวนการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความหมายและความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ต่อคู่รัก LGBTQ+ และสังคมไทยโดยรวม
บุตรบุญธรรมคืออะไร? การรับบุตรบุญธรรม ต้องทำอย่างไร
บุตรบุญธรรม หมายถึง บุคคลที่ได้รับการรับรองทางกฎหมายให้เป็นบุตรของบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่บิดามารดาทางสายเลือด มีสถานะทางกฎหมายเช่นเดียวกับบุตรที่เกิดโดยชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิและหน้าที่ต่างๆ เช่นเดียวกับบุตรแท้ๆ แต่แค่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน การรับบุตรบุญธรรม ไม่ได้ทำขึ้นเองได้ จะต้องมีกระบวนการทางกฎหมาย เช่น การยื่นคำร้องต่อศาล หรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้รับบุตรบุญธรรม และการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม แตกต่างจากบุตรในอุปการะ เพราะบุตรในอุปการะ คือเด็กที่อยู่ในความดูแลของผู้อื่น แต่ยังคงมีความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับบิดามารดาเดิมอยู่ ไม่ได้มีสถานะเป็นบุตรอย่างสมบูรณ์เหมือนบุตรบุญธรรม
การรับบุตรบุญธรรม ของคู่รัก LGBTQ+
กฎหมายเกี่ยวกับการรับบุตรบุญธรรม มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลังจากการประกาศใช้ กฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งมีผลต่อสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมของคู่รักเพศหลากหลาย โดยเฉพาะการให้สิทธิใน การรับบุตรบุญธรรม ร่วมกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยก่อนที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผลบังคับใช้ บุคคล LGBTQ+ สามารถรับบุตรบุญธรรมได้เพียงในนามของบุคคลคนเดียวเท่านั้น กล่าวคือ คู่รักเพศเดียวกันไม่สามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ แม้ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่สมรสหรือคู่รักที่มีความสัมพันธ์ที่มั่นคงก็ตาม เนื่องจากกฎหมายเดิม กำหนดให้การรับบุตรบุญธรรมต้องเป็นการรับโดยบุคคลคนเดียว
เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ คู่รักที่จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ไม่ว่าจะมีเพศใดก็ตาม สามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการรับรองสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมของคู่รัก LGBTQ+ ให้เท่าเทียมกับคู่รักต่างเพศ กฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่เพียงแต่ยอมรับสถานะ “คู่สมรส” ของคู่รัก LGBTQ+ เท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขามีสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกันเหมือนคู่รักต่างเพศ โดยการแก้ไขในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/26 ระบุว่า คู่สมรสสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ หากมีฝ่ายหนึ่งรับบุตรบุญธรรมของอีกฝ่ายมาเป็นบุตรบุญธรรมของตนเอง
ขั้นตอน การรับบุตรบุญธรรม ของคู่รัก LGBTQ+
หลังจากการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย คู่รัก LGBTQ+ ที่จดทะเบียนสมรสแล้วได้รับสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นสิทธิที่เท่าเทียมกับคู่รักต่างเพศ ขั้นตอนการรับบุตรบุญธรรมของคู่รัก LGBTQ+ จึงสามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้:
1. การเลือกและตกลงกันเรื่องเด็กที่จะรับบุตรบุญธรรม
ขั้นแรก คู่รักควรมีการพูดคุยและตกลงกันเกี่ยวกับการรับบุตรบุญธรรม พวกเขาจะต้องตัดสินใจว่า ต้องการรับบุตรบุญธรรมจากทางไหน เช่น ผ่านการรับเด็กจากสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือการขอรับบุตรบุญธรรมจากครอบครัวที่มีเด็กที่ต้องการให้เด็กมีผู้ปกครองใหม่
2. การยื่นคำขอรับบุตรบุญธรรม
เมื่อคู่รัก LGBTQ+ ตัดสินใจเรื่องเด็กที่จะรับบุตรบุญธรรมแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการยื่นคำขอรับบุตรบุญธรรมกับศาลเยาวชนและครอบครัว โดยคู่สมรสทั้งสองคนจะต้องยื่นคำขอร่วมกัน ซึ่งในกรณีนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมทำให้พวกเขามีสิทธิ์ในการยื่นคำขอรับบุตรบุญธรรมร่วมกันเหมือนคู่รักต่างเพศ
ยื่นคำร้อง การรับบุตรบุญธรรม
คู่รักสามารถยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับบัตรบุญธรรมต่อนายทะเบียน ณ สำนักทะเบียนอำเภอ สำนักทะเบียนเขตได้ทุกแห่ง ทุกจังหวัด โดยไม่ต้องคำนึงถึงภูมิลำเนาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนี้
- กรณีบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์ ต้องมีหนังสือแจ้งการอนุมัติของคณะกรรมการ การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ก่อนยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมต่อนายทะเบียน
- นายทะเบียนตรวจสอบคำร้อง หลักฐานแสดงตัวบุคคลของผู้ร้องทั้งสองฝ่าย หนังสือแจ้งการอนุมัติฯ (ถ้ามี) และตรวจสอบว่าผู้ร้องทั้งสองฝ่ายมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขแห่งกฎหมายหรือไม่ ในกรณีที่ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือบุตรบุญธรรม (บรรลุนิติภาวะ) มีคู่สมรสซึ่งต้องให้ความยินยอม ให้ตรวจสอบหลักฐานของบุคคลดังกล่าวด้วย
- นายทะเบียนลงรายการในทะเบียนรับบุตรบุญธรรมให้ครบถ้วนให้ผู้ร้อง ผู้ให้ความยินยอม (ถ้ามี) และพยานลงลายมือชื่อในทะเบียน เมื่อเห็นว่าถูกต้องให้นายทะเบียนลงลายมือชื่อในทะเบียนรับบุตรบุญธรรม
คุณสมบัติของการรับบุตรบุญธรรม
- ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุแก่กว่าผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี
- ผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี ต้องให้ความยินยอมด้วยตนเอง
- ผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดาและมารดา หรือผู้ปกครอง
- ผู้จะรับบุตรบุญธรรมหรือผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม ถ้ามีคู่สมรสอยู่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน
- ผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลใดอยู่ จะเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีก ในขณะเดียวกันไม่ได้ เว้นแต่ เป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม
เอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม
- บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวอื่นที่ราชการออกให้ หรือหนังสือเดินทาง หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือเอกสารราชการอื่น ที่สามารถใช้แสดงตัวบุคคลได้ของผู้ร้อง ผู้ให้ความยินยอม (ถ้ามี) และพยาน (กรณีเป็นเอกสารภาษาต่างประเทศต้องผ่านการรับรองนิติกรณ์โดยกรมการกงสุล กต.)
- หนังสือให้ความยินยอมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม หรือบุตรบุญธรรม (กรณีไม่มาให้ความยินยอมต่อหน้าเจ้าหน้าที่)
- หนังสือแจ้งการอนุมัติของคณะกรรมการ การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม มีอายุ 6 เดือน (กรณีบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์)
- พยานบุคคล จำนวน 2 คน ลงลายมือชื่อรับรู้ในเรื่องการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม
3. การตรวจสอบความเหมาะสมของผู้รับบุตรบุญธรรม
ศาลจะมีการพิจารณาและตรวจสอบความเหมาะสมของคู่รัก LGBTQ+ ที่ต้องการรับบุตรบุญธรรม กระบวนการนี้อาจรวมถึงการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย สถานะทางการเงิน การดูแลเอาใจใส่ และความสามารถในการเลี้ยงดูเด็กของคู่รัก โดยการพิจารณาความเหมาะสมจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ศาลกำหนด เพื่อให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีความสุขและปลอดภัย
4. การดำเนินการและการอนุมัติจากศาล
หลังจากการตรวจสอบและการพิจารณา หากศาลเห็นว่า คู่รัก LGBTQ+ เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองของเด็ก ศาลจะออกคำสั่งให้การรับบุตรบุญธรรมมีผลบังคับใช้ โดยการรับบุตรบุญธรรมนี้จะทำให้เด็กได้รับสถานะเป็นบุตรบุญธรรมของทั้งคู่และมีสิทธิในทุกด้านเช่นเดียวกับบุตรบุญธรรมของคู่รักต่างเพศ
5. การเปลี่ยนแปลงข้อมูลในทะเบียนราษฎร์
เมื่อการรับบุตรบุญธรรมได้รับการอนุมัติจากศาลแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการนำคำสั่งศาลไปยื่นที่สำนักงานทะเบียนราษฎร์ เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในทะเบียนราษฎร์ของเด็ก ซึ่งจะมีการบันทึกชื่อของผู้ปกครองทั้งสองคนในทะเบียนราษฎร์ของเด็กด้วย
6. การดูแลและปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
หลังจากการรับบุตรบุญธรรม คู่รัก LGBTQ+ จะต้องดูแลและปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดในการเลี้ยงดูบุตรบุญธรรม เช่น การรับผิดชอบในด้านการศึกษา สุขภาพ และความเป็นอยู่ของเด็ก ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองและสิทธิจากกฎหมายเช่นเดียวกับบุตรบุญธรรมในครอบครัวต่างเพศ
สิทธิของบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย
บุตรบุญธรรมในประเทศไทย ได้รับการคุ้มครองสิทธิจากกฎหมายอย่างครบถ้วน โดยสิทธิของบุตรบุญธรรมเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายประการ ซึ่งทุกสิทธิจะทำให้บุตรบุญธรรมมีสถานะและสิทธิในครอบครัวใหม่ไม่แตกต่างจากบุตรที่เกิดจากการสมรสของบิดามารดาแท้จริง โดยสิทธิหลักของบุตรบุญธรรมมีดังนี้:
- สิทธิในการใช้นามสกุลของผู้รับบุตรบุญธรรม
- ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 บุตรบุญธรรมมีสิทธิในการใช้นามสกุลของผู้รับบุตรบุญธรรม ซึ่งหมายความว่า บุตรบุญธรรมจะได้รับนามสกุลเดียวกับผู้รับบุตรบุญธรรม เมื่อได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากศาลและตามกระบวนการทางกฎหมาย
- สิทธิในการได้รับอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควร
- ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 บุตรบุญธรรมมีสิทธิในการได้รับการอุปการะเลี้ยงดูและการศึกษาตามสมควรจากผู้รับบุตรบุญธรรมที่เป็น LGBTQ+ เช่นเดียวกับบุตรที่เกิดจากการสมรสของคู่รักต่างเพศ การเลี้ยงดูในด้านการศึกษาสุขภาพและการดูแลเป็นหน้าที่ของผู้รับบุตรบุญธรรม
- สิทธิในการรับมรดกชั้นเสมือนบุตร
- ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1269 บุตรบุญธรรมมีสิทธิในการรับมรดกจากผู้รับบุตรบุญธรรมในลำดับชั้นเดียวกับบุตรแท้จริง โดยสามารถได้รับมรดกจากการเสียชีวิตของผู้รับบุตรบุญธรรมได้
- ไม่สูญเสียหน้าที่ในครอบครัวเดิม
- บุตรบุญธรรมยังคงมีสิทธิในมรดกของบิดามารดาโดยกำเนิด ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/28 กำหนดว่า บุตรบุญธรรมจะไม่สูญเสียสิทธิในมรดกจากครอบครัวเดิม ซึ่งหมายความว่า บุตรบุญธรรมยังคงสามารถรับมรดกจากบิดามารดาแท้จริงได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่บิดามารดาแท้จริงเสียชีวิต
- ไม่สามารถใช้สิทธิเบิกตามระเบียบกรมบัญชีกลางได้
- บุตรบุญธรรมไม่สามารถใช้สิทธิเบิกตามระเบียบกรมบัญชีกลางได้ทั้งจากผู้รับบุตรบุญธรรมที่รับราชการ และบิดามารดาที่แท้จริง ซึ่งเป็นข้อจำกัดในบางกรณีที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิสวัสดิการในราชการ
- สิทธิในการใช้สวัสดิการจากบริษัทหรือองค์กร
- บุตรบุญธรรม อาจใช้สิทธิในการเบิกสวัสดิการจากบริษัทหรือหน่วยงาน/องค์กรต่างๆ ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละองค์กร ซึ่งหมายความว่า ในบางกรณีบุตรบุญธรรมอาจได้รับสิทธิในสวัสดิการจากองค์กรหรือบริษัทที่ผู้รับบุตรบุญธรรมทำงานอยู่
การรับบุตรบุญธรรมออนไลน์
กระบวนการรับบุตรบุญธรรม สามารถทำได้ง่ายขึ้นผ่านระบบ การยื่นคำขอรับบุตรบุญธรรมออนไลน์ (E-form) ซึ่งเปิดให้บริการเฉพาะในกรุงเทพมหานคร โดยการยื่นคำขอผ่านระบบออนไลน์ ช่วยให้ผู้ที่ต้องการรับบุตรบุญธรรม สามารถดำเนินการได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยขั้นตอนหลักในการยื่นคำขอรับบุตรบุญธรรมออนไลน์มีดังนี้:
- การยื่นคำขอออนไลน์ – ผู้ที่ต้องการยื่นคำขอรับบุตรบุญธรรม สามารถเข้าสู่เว็บไซต์ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ คลิกที่นี่ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการยื่นคำขอรับบุตรบุญธรรมออนไลน์
- เอกสารและหลักฐานที่ต้องใช้ – การยื่นคำขอออนไลน์จำเป็นต้องใช้เอกสารและหลักฐานหลายอย่าง เช่น สำเนาบัตรประชาชนของผู้ยื่นคำขอ สำเนาทะเบียนบ้าน และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเอกสารเหล่านี้สามารถดาวน์โหลดและกรอกข้อมูลตามขั้นตอนที่ระบุในเว็บไซต์
- การพิจารณาคำขอ – หลังจากที่ผู้ยื่นคำขอกรอกข้อมูล และยื่นเอกสารครบถ้วนแล้ว คำขอจะถูกพิจารณาโดยเจ้าหน้าที่ หากคำขอได้รับการอนุมัติ ผู้ยื่นคำขอจะได้รับการติดต่อเพื่อดำเนินการในขั้นตอนถัดไป
การรับบุตรบุญธรรมออนไลน์ จึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่ต้องการดำเนินการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการรับบุตรบุญธรรมของคู่รัก LGBTQ+
ตอบ ได้ หลังจากที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ คู่รัก LGBTQ+ ที่จดทะเบียนสมรสแล้วสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้ เหมือนคู่รักต่างเพศทั่วไป
ตอบ บุตรบุญธรรมสามารถใช้นามสกุลของผู้รับบุตรบุญธรรม หรือใช้นามสกุลเดิมของตนเองได้ ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของผู้รับบุตรบุญธรรมและเด็ก
ตอบ สำหรับค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม จะไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ แต่จะมีค่าคัดสำเนา ฉบับละ 10 บาท
ตอบ การรับบุตรบุญธรรมของคู่รัก LGBTQ+ ที่จดทะเบียนสมรสแล้วได้รับการยอมรับจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมและสามารถดำเนินการได้อย่างเท่าเทียมกับคู่รักต่างเพศ
ตอบ บุตรบุญธรรมมีสิทธิได้รับมรดก เหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมาย แต่ต้องมีที่มาโดยชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/27 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เอาไว้ว่า การรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนตามกฎหมาย
ตอบ บุตรบุญธรรมมีสิทธิในการใช้นามสกุลของผู้รับบุตรบุญธรรม การได้รับอุปการะเลี้ยงดู การศึกษาตามสมควร รวมทั้งสิทธิในการรับมรดกจากผู้รับบุตรบุญธรรม โดยไม่สูญเสียสิทธิในมรดกจากครอบครัวเดิม
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- การนับถอยหลังของไทย สู่สมรสเท่าเทียม 22 มกราคม 2568 นี้
- สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่สมควรได้รับกับการแต่งงานเพศเดียวกันในไทย
“การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยทำให้คู่รัก LGBTQ+ ที่จดทะเบียนสมรสสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งให้สิทธิในเรื่องการเลี้ยงดู การศึกษา และมรดกแก่บุตรบุญธรรมไม่แตกต่างจากบุตรแท้จริง การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความเท่าเทียมในสิทธิของคู่รัก LGBTQ+ แต่ยังสะท้อนถึงการยอมรับความหลากหลายทางเพศในสังคม และการเคารพสิทธิในการสร้างครอบครัวของทุกคนอย่างเท่าเทียม”
อ้างอิงข้อมูลจาก:
สมรสเท่าเทียม ใช้บังคับ ม.ค. ปีหน้า เรื่องใดใช้สิทธิได้ทันที เรื่องไหนต้องรอแก้กฎหมายเพิ่มเติม
- bbc.com/thai/articles/crl8d6x62wdo
เปิดกฎหมายแพ่งแก้ไขใหม่ บุคคล-บุคคล สมรสได้ ไม่จำกัดแค่ชาย-หญิง
- ilaw.or.th/articles/43563
บุตรบุญธรรม คืออะไร มีสิทธิอะไรบ้าง เบิกค่าเล่าเรียนได้ไหม
- ktc.co.th/article/lifestyle/family-parenting/protege-term-fees