เอชไอวี และเอดส์ มีผู้คนมากมายที่ยังเข้าใจผิด และยังไม่ทราบว่าสองสิ่งนี้มีความแตกต่างกันอยู่ ความจริงแล้ว ไวรัสเอชไอวี ที่ย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) เป็นเชื้อไวรัสที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนเราแล้ว มันจะมุ่งไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์ที่เป็นเป้าหมายหลักโดยตรงของไวรัสเอชไอวี คือ เม็ดเลือดขาวลิมโฟซัยท์ (Lymphocyte) ทีเซลล์ (T-cell) ชนิด ซีดี 4 (CD4) ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกาย ไม่มีภูมิคุ้มกัน เพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก
เอชไอวีแพร่เชื้อได้ทางไหน?
- “เอชไอวี” สามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ หรือผู้ที่มีความเสี่ยง โดยไม่ได้ป้องกันด้วยการสวมถุงยางอนามัย หรือการทานยาเพร็พ (PrEP)
- “เอชไอวี” สามารถแพร่เชื้อได้จากการมีเพศสัมพันธ์กับหลายคน มีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว ก็มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
- “เอชไอวี” สามารถแพร่เชื้อได้จากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ ในกลุ่มผู้ที่เสพสารเสพติด
- “เอชไอวี” สามารถแพร่เชื้อได้จากการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือบริจาคเลือด เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่สามารถพบได้เช่นกัน แต่ในปัจจุบันมีการคัดกรองผู้บริจาคเลือด หรือผู้บริจาคอวัยวะอย่างเข้มงวดมากขึ้น ก่อนที่จะนำมาถ่ายให้กับผู้ป่วย โดยมีการตรวจหาเชื้อก่อนนำไปใช้ทุกครั้ง
- “เอชไอวี” สามารถแพร่เชื้อได้ในกลุ่มผู้ที่ทำงานกับอุปกรณ์ที่อาจปนเปื้อนเชื้อเอชไอวี หรือบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล ผู้ช่วยแพทย์ เช่น เข็มฉีดยา มีดผ่าตัด หรือของมีคม ที่อาจได้รับเชื้อผ่านอุบัติเหตุของมีคมบาดมือ หรือเข็มทิ่มตำโดยไม่ได้ตั้งใจ
- “เอชไอวี” สามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการเจาะ หรือสักตามร่างกาย หากอุปกรณ์ที่ใช้ไม่สะอาด มีการใช้เข็มสัก หรือเจาะซ้ำ หรือใช้หมึกในการสักร่วมกับผู้อื่น หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน
- “เอชไอวี” สามารถแพร่เชื้อได้โดยการติดต่อผ่านแม่สู่ลูก ในกรณีที่แม่มีเชื้อเอชไอวีอยู่ แล้วเกิดการตั้งครรภ์ทำให้มีการถ่ายทอดเชื้อไปสู่ลูก แต่ในปัจจุบัน ได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวี และเอดส์จากแม่ไปสู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการทานยาต้านไวรัสตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อเอชไอวีของทารกได้ลดลง แต่ปัญหาส่วนมากในขณะนี้คือ แม่ไม่ยอมไปฝากครรภ์แต่เนิ่นๆ และไม่พาคู่ครองมาตรวจด้วย ทำให้ไม่ทราบว่ามีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวีอยู่ ดังนั้นสิ่งที่จะต้องเน้นย้ำ คือ การหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในขณะที่ไม่พร้อม หรือไม่ได้วางแผนครอบครัว การที่แม่มาฝากท้องเร็ว และพาคู่มาตรวจด้วย หากพบว่าติดเชื้อแพทย์จะให้ทานยาอย่างสม่ำเสมอ และนำทารกมาตรวจติดตามหลังคลอด ช่วยเรื่องวางแผนครอบครัวอย่างเหมาะสม หากทำทุกอย่างได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทารกก็จะปลอดภัยไม่ติดเชื้อ และครอบครัวก็จะแข็งแรงมีความสุข
ปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อเอชไอวี
- ปริมาณเชื้อเอชไอวีที่ได้รับ หากได้รับเชื้อในปริมาณมากก็จะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงตามไปด้วย
- การมีบาดแผล หากมีบาดแผลบริเวณผิวหนัง หรือในปาก ก็ย่อมทำให้มีโอกาสติดเชื้อสูง เพราะเชื้อเอชไอวี สามารถเข้าสู่บาดแผลได้ง่าย
- สุขภาพของผู้รับเชื้อ หากคุณเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่แล้ว โอกาสที่จะติดเชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์ ก็เป็นไปได้ยาก แต่หากสุขภาพอ่อนแอ ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายเช่นกัน
กิจกรรมเหล่านี้ไม่ทำติดเอชไอวี และเอดส์
เชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์ ไม่ส่งต่อเชื้อกันง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการกอด จับมือ หรือแม้แต่การจูบแบบปิดปากกับผู้ติดเชื้อ การสัมผัสน้ำตา เหงื่อ และน้ำลายโดยตรงที่ไม่มีเลือดของผู้ติดเชื้อปนเปื้อน การถูกยุงกัด หรือแมลงดูดเลือดจากผู้ติดเชื้อกัดต่อย การหายใจร่วมกัน และการใช้ข้าวของ หรือห้องน้ำสาธารณะร่วมกับผู้ติดเชื้อ เนื่องจากเชื้อเอชไอวีสามารถอยู่นอกร่างกายได้ไม่นาน ไม่สามารถทนต่อสภาวะแวดล้อมข้างนอกได้ โดยทั่วไปไวรัสเอชไอวีอยู่ได้เป็นชั่วโมง หรือแค่ไม่เกินวัน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ถ้าบริเวณนั้นมีความร้อน หรือความแห้งเป็นกรดด่าง หรือแม้แต่แสงแดดเพียงเล็กน้อยเชื้อก็ตายแล้ว แต่ถ้าบริเวณนั้นมีความเหมาะสม ความชื้นดี หรือมีอุณหภูมิที่เย็นจัดเชื้อก็อยู่ได้นานหลายวันแต่ไม่ถึงสัปดาห์ ก็ไม่สามารถทำให้เราติดเชื้อเอชไอวีได้
อาการของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ช่วงแรกบางคนจะไม่มีอาการใดๆ แสดงให้เห็น บางคนจะมีอาการเจ็บคอ เป็นไข้ และต่อมน้ำเหลืองโต หรือเป็นผื่นคันตามร่างกาย อาการจะปรากฏประมาณหนึ่งถึงสี่สัปดาห์หลังจากติดเชื้อ เรียกว่าติดเชื้อระยะแรกมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด และอาการมักจะหายหลังจากประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่เชื้อเอชไอวียังคงทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อ่อนแอเรื่อยๆ และช่วง 2 – 3 เดือนหลังจากติดเชื้อ เชื้อจะแพร่กระจายมากขึ้น ปริมาณเชื้อไวรัสจะเพิ่มสูงขึ้น
การป้องกัน เอชไอวี และเอดส์
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) รวมถึงการติดเชื้อ HIV และยังช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย ถุงยางอนามัยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้น้ำอสุจิและสารคัดหลั่งเข้าสู่ร่างกาย การใช้อย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของการป้องกัน ควรตรวจสอบคุณภาพและวันหมดอายุของถุงยางอนามัยก่อนใช้งานทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
- ใช้เข็มฉีดยาที่สะอาด สำหรับการฉีดยา การไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญมากในการป้องกันการติดเชื้อจากโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่ติดต่อผ่านทางเลือด เช่น HIV และไวรัสตับอักเสบ B และ C การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันอาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้อย่างง่ายดาย การใช้เข็มที่สะอาดและใหม่ทุกครั้งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ ควรทิ้งเข็มที่ใช้แล้วในที่ที่ปลอดภัยและไม่ใช้ซ้ำเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของตนเองและผู้อื่น
- รับรู้สถานะการเลือดของตนเอง โดยการตรวจคัดกรองเอชไอวีเป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง การตรวจคัดกรองเอชไอวีมีข้อดีหลายประการ เช่น ช่วยให้ตรวจพบเชื้อได้เร็ว ทำให้สามารถเริ่มการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและชะลอการพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน และสร้างความมั่นใจในสุขภาพทางเพศ การตรวจอย่างสม่ำเสมอยังสนับสนุนการป้องกันเชิงรุกด้วยการใช้วิธีการป้องกันที่เหมาะสม เช่น PrEP หรือ PEP ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
- ใช้ยาต้านไวรัสในผู้ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี ยาเพร็พ PrEP / ยาเป๊ป PEP ยาต้านไวรัสก่อน และหลัง สัมผัสเชื้อ
การรักษา เอชไอวี และเอดส์
ปัจจุบันเอชไอวี และเอดส์ สามารถรักษาได้โดยการกินยารักษาการติดเชื้อเอชไอวี และจะต้องกินให้ครบ และตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน เป็นข้อปฏิบัติที่เคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา และจะต้องกินไปตลอดชีวิต สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บทความ อื่นๆ ภายในเว็บไซต์
โรคเอดส์ เป็นเพียงระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ เอชไอวี ดังนั้นเอชไอวี และเอดส์ จึงไม่ใช่สิ่งเดียวกัน