เริมที่อวัยวะเพศ เกิดจากเชื้อไวรัส (Herpes simplex virus) เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับหลายคน เมื่อเชื้อ โรคเริม ได้เข้าสู่ร่างกายแล้วจะอยู่กับคนๆ นั้นไปตลอดชีวิต โดยโรคเริมสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่
- Herpes Simplex Virus ชนิด 1 หรือ HSV-1 มักทำให้เกิด เริมที่ปาก
- Herpes Simplex Virus ชนิด 2 หรือ HSV-2 มักทำให้เกิด เริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยวะเพศ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบได้บ่อย เกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ ผ่านการสัมผัสกับแผล หรือสารคัดหลั่งจากบริเวณที่ติดเชื้อ อาการของเริมที่อวัยวะเพศ มักปรากฏขึ้นประมาณ 2 – 14 วัน หลังจากได้รับเชื้อ มักเริ่มด้วยอาการคัน เจ็บ หรือชา บริเวณอวัยวะเพศ
อาการของเริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยเพศชาย เริมที่อวัยเพศหญิง อาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว อาการจะเริ่มต้นด้วยอาการคัน เจ็บ หรือชา ที่บริเวณอวัยวะเพศ จากนั้นจึงเกิดตุ่มน้ำใสขนาดเล็กขึ้น ซึ่งตุ่มน้ำเหล่านี้ จะแตกออก และกลายเป็นแผลเปิด แผลเหล่านี้ อาจมีอาการเจ็บปวด หรือคันมาก มักหายได้เองภายใน 2 – 4 สัปดาห์ และสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้บ่อยครั้ง
อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ร่วมกับเริมที่อวัยวะเพศ ได้แก่
- ไข้
- ปวดหัว
- อ่อนเพลีย
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- ปัสสาวะแสบขัด
สาเหตุของเริม
เริม ที่อวัยวะเพศ เกิดจากเชื้อไวรัส (Herpes simplex virus: HSV) แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด HSV-1 มักทำให้เกิดเริมที่ริมฝีปาก และใบหน้า ส่วน HSV-2 มักทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ
การสัมผัสกับแผลของเริมโดยตรง เป็นวิธีหลักในการแพร่เชื้อ แผลของเริมมักพบบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก การสัมผัสกับแผลของเริมโดยตรง เช่น การจูบ การสัมผัสทางเพศ หรือการใช้อุปกรณ์เสริมทางเพศร่วมกัน จะทำให้ได้รับเชื้อไวรัสเริม เข้าสู่ร่างกาย
การวินิจฉัย เริมที่อวัยวะเพศ
แพทย์จะวินิจฉัย เริม ที่ อวัยวะ เพศ โดยการตรวจร่างกาย และสอบถามประวัติทางการแพทย์ หากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ แพทย์อาจทำการทดสอบเพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัย เช่น
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสเริม Herpes simplex virus
- การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อดูลักษณะของแผล
เริม ติดต่อกันได้อย่างไร ?
เริม ติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับรอยโรคที่ผิวหนัง โดยผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ ปาก และตา เป็นบริเวณที่สามารถติดเชื้อได้ง่าย ส่วนบริเวณอื่นๆ ของร่างกายก็อาจติดเชื้อได้ ถ้ามีช่องทางให้เชื้อเข้าไปได้ เช่น รอยบาดแผลที่ผิวหนัง ผื่นที่ผิวหนัง เป็นต้น หรือถ้ามีแผลบริเวณปากแล้วดันไปใช้แก้วน้ำ ช้อน ส้อม ผ้าขนหนู ร่วมกับผู้อื่นเชื้อ ที่อยู่กับน้ำลายก็มีสิทธิ์แพร่กระจายสู่ผู้อื่นเช่นกัน ส่วนเรื่องมีเพศสัมพันธ์ไม่ต้องพูดถึง เมื่อคนหนึ่งมีเชื้อ แต่ไม่ได้ป้องกันด้วยถุงยางอนามัยเลยยังไงก็ติดแน่นอน
วิธีการป้องกันเริมที่อวัยวะเพศ
- การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ด้วยการสวม ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ กับผู้ที่เป็นโรคเริม
- ไม่สัมผัสกับแผลของเริม
- หากสงสัยว่าตนเองเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจ และรับการรักษาที่เหมาะสม
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดเริมที่อวัยวะเพศ
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคเริม
- เปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง
- มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรคซ้ำ
อาการแผลของ โรคเริมที่อวัยเพศ อาจเกิดเป็นซ้ำได้อีก เนื่องจากเชื้อไวรัส นี้จะเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท และมักจะทำให้เป็นเริมซ้ำที่บริเวณเดิม หรือใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิมเสมอ หากพิจารณาแล้วว่าคุณมี กิจกรรมดังนี้ อาจเสี่ยงทำให้กลับมาเป็นโรคซ้ำใหม่ได้ ได้แก่
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ความเครียด วิตกกังวล เช่น ทำงานหนัก ใกล้สอบ เป็นต้น
- ความเจ็บป่วย ช่วงที่สุขภาพอ่อนแอ ทรุดโทรม ไม่ค่อยสบาย
- อากาศร้อน แสงแดด
- ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ระหว่างมีประจำเดือน
แนวทางการรักษาโรคเริม
โรคเริม เมื่อได้รับเชื้อแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางรักษาให้เชื้อออกไปจากร่างกายได้แน่นอน แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยบรรเทาสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมหยุดยั้งไม่ให้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ทั้งนี้ขอแบ่งสำหรับคนที่พึ่งป่วยเป็นครั้งแรกกับเคยป่วยมาก่อนหน้านั้นแล้ว
- กรณีป่วยครั้งแรก แพทย์จะให้การรักษาด้วยตัวยา 2 ชนิด คือ ยาต้านไวรัส เป็นตัวช่วยให้อาการของ โรคเริม ค่อยๆ ทุเลาลงอย่างรวดเร็ว กับอีกประเภท คือ ยาแก้ปวดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป อาจไม่ได้รักษาแผลโดยตรงแต่ช่วยเรื่องลดความเจ็บปวด
- เมื่อมีอาการเกิดขึ้นอีก คราวนี้แพทย์จะวินิจฉัยตามอาการ เพราะมันจะไม่รุนแรงเท่าครั้งแรกแล้วให้ยาไปทานตามความเหมาะสมนั่นเอง
การดูแลตนเองเมื่อเป็น เริมที่อวัยวะเพศ
หากมีอาการของ โรคเริมที่ อ วัย เพศ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา และคำแนะนำในการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม การดูแลตนเองเบื้องต้น ได้แก่
- รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศให้สะอาดอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล หรือสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ
- สวมเสื้อผ้าที่หลวมสบาย ไม่รัดแน่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
สิ่งสำคัญคือ คนที่มีเชื้อ หรือป่วยเป็นโรคเริมนี้ ควรต้องดูแลสุขภาพให้ดี ขณะที่คนรอบข้างเองก็ต้องเข้าใจด้วย มีการดูแลตนเองไม่ให้ติดเชื้อผ่านของเหลวต่างๆ แค่นี้ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องคิดมาก หรือกังวลใจว่าตนเองจะติดเชื้อโรคเริม หรือไม่