ยาเริม ใช้กี่วัน หายไวจริงไหม เคล็ดลับรักษาเริมให้หายสนิท ไม่ต้องกังวล

ยาทาเริม

หากคุณตรวจพบว่าคุณเป็น เริมที่ปาก หรือเริมที่อวัยวะเพศ และต้องการใช้ ยาทาเริม แล้วล่ะก็ คุณสามารถหาคำตอบที่มีประโยชน์ได้จากบทความนี้ เริมในช่องปากนี้ เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อย มีสาเหตุมาจากไวรัสเริม (HSV) โดยที่ไวรัสนี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกไม่เพียงแต่เฉพาะในไทย และการทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และทางเลือกในการรักษาด้วย ยาทา เริม นั้นเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการ และป้องกันการแพร่กระจาย ในเนื้อหานี้ เราจะมาดูกันว่า โรคเริมที่ปากคืออะไร อาการเริม เป็นอย่างไร และอาการแสดง วิธีการวินิจฉัยโรคเริม ทางเลือกในการรักษา และวิธีใช้ชีวิตกับอาการเริมที่เกิดขึ้นนี้

เริมที่ปากเกิดจากอะไร ยาทาเริม ใช้กับปากได้ไหม?

เริมที่ปาก หรือ Herpes Simplex Virus มีสาเหตุหลักมาจากไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) แม้ว่าอาจมีสาเหตุมาจากไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) ในบางกรณีก็ตาม HSV-1 ติดต่อได้ง่าย และมักเป็นสาเหตุของโรคเริมในช่องปาก ในขณะที่ HSV-2 มักเกี่ยวข้องกับโรคเริมที่อวัยวะเพศ มากกว่าที่ติดต่อกันผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย โดยที่ HSV ทั้งสองประเภทจะทำให้เกิดแผลพุพองในปาก และบริเวณอวัยวะเพศเหมือนกัน ยาทาเริม สามารถใช้กับริมฝีปากได้แต่ต้องเป็นยาเฉพาะที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ หรือเภสัชกรเท่านั้น และยาทาแก้เริมสามารถช่วยบรรเทาอาการให้สามารถหายได้

เริมที่ปากติดต่อกันผ่านอะไรบ้าง?

เริมที่ปากเกิดจากเชื้อไวรัส HSV ชนิดที่ 1 ซึ่งมักพบที่บริเวณปาก มักได้รับเชื้อไวรัสมาจากน้ำลาย น้ำเหลือง สารคัดหลั่ง หรือน้ำอสุจิ การจูบ การหอมแก้ม หรือการรับประทานอาหารด้วยภาชนะเดียวกัน การกินดื่มแก้ว หรือหลอดดูดน้ำเดียวกัน ลิปสติก มีดโกน การใช้ของส่วนตัวร่วมกัน และการสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรคที่ทั้งแสดงอาการ หรือไม่แสดงอาการ เช่น ผื่นตุ่มน้ำ รอยโรค เป็นต้น ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย รวมไปถึงการมีกิจกรรมทางเพศด้วยการทำรักด้วยปาก หรือออรัลเซ็กส์ (Oral sex) จากผู้ที่มีเชื้อไวรัสโรคเริมก็สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะเพศได้

หลังจากเคยเป็นเริมที่ปากครั้งแรกแล้ว เชื้อไวรัสจะไปหลบซ่อนภายในปมประสาท ทำให้เกิดการระบาดซ้ำ ที่มักเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียด ความเจ็บป่วยอ่อนแอ พักผ่อนไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการสัมผัสกับแสงแดดเป็นระยะเวลานาน เชื้อไวรัสนี้ก็จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้เริมที่ปากเป็นๆ หายๆ ได้

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง เริมในช่องปาก และเริมที่อวัยวะเพศ

สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือเริมในช่องปาก (HSV-1) และเริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2) มีตำแหน่งหลักที่แตกต่างกัน แต่อาจทำให้ติดเชื้อทั้งสองบริเวณได้ โรคเริมในช่องปากมีผลกระทบต่อปาก และใบหน้าเป็นหลัก ในขณะที่โรคเริมที่อวัยวะเพศมีผลกระทบต่อบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนักเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองประเภทอาจทำให้เกิดแผลได้ในบริเวณนั้น และอาการอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรง

สัญญาณใดที่บ่งบอกถึงอาการของเริมที่ปาก?

  • รู้สึกแสบร้อน หรือคันบริเวณริมฝีปาก ที่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าถึงเริมที่กำลังจะเกิดขึ้น
  • มีอาการบวมแดงบริเวณริมฝีปาก
  • เกิดตุ่มน้ำขนาดเล็กบริเวณริมฝีปาก ลิ้น ช่องปาก ประมาณ 1-2 สัปดาห์
  • ตุ่มน้ำแตกออกเป็นแผลพุพองขนาดเล็ก
  • มีอาการเจ็บปวดบริเวณแผล
  • มีไข้ รู้สึกอ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองบวมโต

โดยทั่วไป เริมที่ปาก จะหายไปได้เองภายใน 10-14 วัน แต่สามารถรักษาด้วยยาต้านไวรัส เพื่อลดความรุนแรง และระยะเวลาของอาการได้ หากเกิดอาการซ้ำอีกครั้งจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรง แผลมักเจ็บปวดน้อยลง และหายเร็วขึ้น

การตรวจวินิจฉัยโรคเริมที่ปาก

การตรวจวินิจฉัยโรคเริมที่ปาก แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยพิจารณาจากอาการ และประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจร่างกาย เช่น การตรวจดูลักษณะของแผล การตรวจดูว่ามีตุ่มน้ำใส หรือแผลพุพองขึ้นบริเวณริมฝีปาก หรือไม่ หากผู้ป่วยมีอาการไม่ชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจเพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัย ได้แก่

  • การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจดูลักษณะของแผล ตรวจดูว่ามีตุ่มน้ำใส หรือแผลพุพองขึ้นบริเวณริมฝีปาก หรือไม่
  • การตรวจหาเชื้อไวรัส HSV แพทย์จะเก็บตัวอย่างจากแผล หรือน้ำลายของผู้ป่วยไปตรวจหาเชื้อไวรัส HSV โดยใช้วิธี PCR (Polymerase chain reaction) ซึ่งเป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูง
  • การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัส HSV แพทย์จะเก็บตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยไปตรวจหาแอนติบอดี้ต่อเชื้อไวรัส HSV ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่าผู้ป่วยเคยติดเชื้อ HSV มาแล้ว

การตรวจวินิจฉัยโรคเริมที่ปาก จะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง และแม่นยำ เพื่อนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ

ภาวะแทรกซ้อน และความเสี่ยงของโรคเริมที่ปาก

การแพร่กระจายของไวรัส

  • เริมที่ปากเป็นโรคติดต่อได้ง่าย และคนที่มีแผลควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส สามารถติดต่อได้ผ่านการจูบ ออรัลเซ็กซ์ และการใช้ของส่วนตัวร่วมกัน

โรคเริมกับคุณแม่ตั้งครรภ์

  • หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเริมในช่องปาก ควรแจ้งให้แพทย์ของตนทราบ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสไปยังทารกแรกเกิดในระหว่างการคลอดบุตร

โรคเริมกับผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี

  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือได้รับเคมีบำบัด อาจเกิดการระบาดของโรคเริมที่รุนแรง และยาวนานขึ้น การติดตามอย่างใกล้ชิด และการดูแลรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการจัดการในคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ตัวเลือกการรักษาโรคเริมที่ปากด้วย ยาทาเริม

ยาทาเริม ชนิดที่เป็นยาต้านไวรัส

ยาทาเริม เป็นยาที่ใช้ทาบริเวณที่เป็นเริมโดยเฉพาะ เพื่อบรรเทาอาการคัน แสบร้อน และช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้น ยาทา เริม มีหลายชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของยาต้านไวรัสที่ใช้ โดยยาทาเริมที่พบได้บ่อย ได้แก่

ยาทาเริม อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir)

คือ ยาทาเริม ชนิดที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสเริม โดยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส ช่วยให้แผลเริมหายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดซ้ำได้ สามารถใช้ทาได้ทั้งเริมที่ปาก ริมฝีปาก เริมที่อวัยวะเพศ อีสุกอีใส และงูสวัด อะไซโคลเวียร์ มีรูปแบบทั้งยาเม็ด ยาทา และยาฉีด โดยปริมาณยา และระยะเวลาในการรับประทาน หรือทายาขึ้นอยู่กับชนิดของโรคเริม และความรุนแรงของอาการ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา

ผลข้างเคียงของ อะไซโคลเวียร์ มักไม่รุนแรง และอาจพบอาการ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ท้องเสีย เป็นต้น และไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ที่แพ้ยา หรือส่วนประกอบของยา หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา ผู้ป่วยโรคไตควรใช้ยานี้ด้วยความระมัดระวัง หากพบอาการข้างเคียงที่รุนแรง เช่น อาการแพ้ที่ทนไม่ไหว ไตวาย ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะถึงแม้ว่า ยาอะไซโคลเวียร์ จะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเริม แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ที่เคยเป็นเริมมาแล้ว อาจมีความเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เช่น พักผ่อนน้อย เครียด เจ็บป่วย เป็นต้น

ยาทาเริม วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)

เป็นยาต้านไวรัสในกลุ่มอะไซโคลเวียร์เช่นกัน ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสในกลุ่ม HSV เช่น เริมที่ปาก เริมที่อวัยวะเพศ งูสวัด อีสุกอีใส การติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส (Cytomegalo Virus) หลังการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น วาลาไซโคลเวียร์ จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และเปลี่ยนเป็นอะไซโคลเวียร์ในเซลล์ อะไซโคลเวียร์จะเข้าไปยับยั้งการสังเคราะห์ DNA ของไวรัส ทำให้ไวรัสไม่สามารถแบ่งตัว และแพร่กระจายได้

วาลาไซโคลเวียร์ เป็นยาที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และผื่นแพ้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาวาลาไซโคลเวียร์ หากมีประวัติแพ้ยาอื่นๆ มีปัญหาเกี่ยวกับไต หรือตับ กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร

ยาทาเริม ฟามิซิโคลเวียร์ (Famciclovir)

เป็นยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาการติดเชื้อไวรัสเริม ยานี้ทำงานโดยการยับยั้งการจำลองแบบของไวรัสเริม ทำให้ไวรัสไม่สามารถแพร่กระจาย และทำลายเซลล์ได้ ฟามิซิโคลเวียร์ ใช้รักษาการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง และเยื่อเมือก เช่น เริมที่ฝีปาก เริมอวัยวะเพศ งูสวัด และอีสุกอีใส ยานี้ยังใช้รักษาการติดเชื้อเริมในระบบประสาท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเริม และโรคประสาทเริม

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของฟามิซิโคลเวียร์คล้ายกับยาสองชนิดที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย ผลข้างเคียงที่รุนแรงน้อยกว่า ได้แก่ ปฏิกิริยาแพ้ ปวดกล้ามเนื้อ และปัญหาเกี่ยวกับไต ฟามิซิโคลเวียร์ เป็นยาที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัสเริม อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้ เพื่อให้แน่ใจว่ายานี้ปลอดภัยสำหรับคุณ

ข้อแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ยาทาเริม

ยาทาเริมควรทาบริเวณที่เป็นเริมวันละ 5 ครั้ง โดยเริ่มทาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยให้อาการดีขึ้น และหายเร็วขึ้น ยาทาเริมสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่หากมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา นอกจากยาทาเริมแล้ว ยังมียาต้านไวรัสแบบรับประทานที่ใช้ในการรักษาเริม ได้แก่ อะไซโคลเวียร์ วาลาไซโคลเวียร์ และฟามิซิโคลเวียร์ ยาต้านไวรัสแบบรับประทานจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส ทำให้แผลเริมหายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดซ้ำได้

ยารักษาเริมประเภทอื่นๆ

ยาแก้ปวดชนิดต่างๆ ที่จำหน่าย ณ ร้านขายยา หรือสถานพยาบาล เช่น ไอบูโพรเฟน อะเซตามิโนเฟน สามารถช่วยบรรเทาอาการปวด และไม่สบายระหว่างเกิดโรคได้

ครีม และขี้ผึ้งเฉพาะที่ที่มีส่วนผสม เช่น โดโคซานอล หรือลิโดเคน สามารถช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย ที่เกี่ยวข้องกับแผล และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

การรักษาด้วยตัวเองที่บ้าน และการจัดการไลฟ์สไตล์

  • การรักษาความสะอาด ดูแลแผลให้แห้ง สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และทำให้หายไว
  • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล หรือแสงแดดที่มากเกินไป
  • การจัดการความเครียด ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ออกกำลังกาย ทำสมาธิ หรือการหายใจเข้าลึกๆ สามารถช่วยลดความถี่ของการเกิดโรคได้

การปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับคนอื่นในระหว่างที่เกิดโรค และใช้การป้องกันระหว่างกิจกรรมทางเพศ สามารถช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเริมได้

อยู่อย่างไรให้เข้าใจโรคเริมที่ปาก

  • การมีชีวิตอยู่ร่วมกับโรคเริมที่ปาก อาจส่งผลทางอารมณ์ และจิตใจได้ จำเป็นต้องขอการสนับสนุนจากแพทย์ กลุ่มสนับสนุน หรือที่ปรึกษา เพื่อรับมือกับความท้าทายทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาการดังกล่าว
  • การเปิดเผย และซื่อสัตย์กับคู่รัก เกี่ยวกับการเป็นโรคเริม ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้ความรู้แก่ผู้อื่น เกี่ยวกับไวรัส และลดการตีตราที่เกี่ยวข้องกับไวรัสได้
  • การเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน หรือการค้นหาแหล่งข้อมูลทางการศึกษา สามารถให้ข้อมูลอันมีคุณค่า และการสนับสนุนทางอารมณ์สำหรับบุคคลที่เป็นโรคเริมในปากได้เพิ่มขึ้น

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาทาเริม ที่ช่วยรักษาโรคเริมที่ปากเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดการ และป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อยนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การตระหนักถึงสัญญาณ การแสวงหาการวินิจฉัยอย่างทันท่วงที และการดำเนินการรักษาที่เหมาะสม แต่ละบุคคลสามารถลดผลกระทบของโรคเริมต่อชีวิตของตนได้ นอกจากนี้ การวิจัยอย่างต่อเนื่อง และความก้าวหน้าในตัวเลือกการรักษา ยังเสนอความหวังในการจัดการที่ดีขึ้น และคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโรคเริมชนิดนี้ต่อไปในอนาคตครับ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า