ไวรัสตับอักเสบ ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพสำคัญที่คนไทยหลายคนยังเข้าใจไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบชนิด A, B และ C ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะการติดต่อ อาการ ความรุนแรง และแนวทางการรักษาที่แตกต่างกันออกไป หากมองผิวเผินอาจคล้ายกัน แต่ในความจริงแล้วผลกระทบต่อสุขภาพตับ รวมถึงความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ นั้นแตกต่างกันอย่างมาก การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เพียงเพื่อการดูแลป้องกันตัวเอง แต่ยังรวมถึงการเข้ารับการตรวจและการรักษาอย่างเหมาะสมเมื่อพบความเสี่ยงหรือมีอาการผิดปกติ บทความนี้ จะพาคุณไปรู้จักไวรัสตับอักเสบ A, B และ C อย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ วิธีการติดต่อ อาการที่ควรสังเกต ผลกระทบระยะยาว ไปจนถึงแนวทางการรักษาและการป้องกันที่ทันสมัย เพื่อให้คุณเข้าใจโรคเหล่านี้อย่างรอบด้าน และสามารถปกป้องสุขภาพตับของตนเองและคนที่คุณรักได้อย่างมั่นใจ
ไวรัสตับอักเสบ ภัยเงียบที่ส่งผลต่อคนไทยจำนวนมาก
ไวรัสตับอักเสบเป็นโรคติดเชื้อที่มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังป่วยอยู่ เพราะอาการเบื้องต้น เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือปวดเมื่อยตามตัว มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงความเหนื่อยล้าธรรมดา ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้เข้ารับการตรวจวินิจฉัยและปล่อยให้โรคดำเนินต่อไปอย่างเงียบ ๆ
ในประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B และ C อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับแข็งและมะเร็งตับ หนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย การที่ไวรัสเหล่านี้สามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานาน โดยแทบไม่มีอาการแสดง ทำให้ถูกเรียกว่า “ภัยเงียบ” เพราะเมื่อผู้ป่วยมารู้ตัว ก็มักอยู่ในระยะที่โรคลุกลามไปมากแล้ว การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ การฉีดวัคซีนป้องกัน (โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบชนิด A และ B) และการเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C คือแนวทางที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงในอนาคต และป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไวรัสตับอักเสบเอ การติดต่อ อาการ และการรักษา

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Virus – HAV) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการอักเสบของตับ โดยมีลักษณะเฉพาะคือ ติดต่อผ่านทางการกินและการดื่ม ซึ่งแตกต่างจากไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นที่มักแพร่เชื้อผ่านเลือดหรือการมีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอจึงพบได้บ่อยในพื้นที่ที่สุขอนามัยไม่ดี หรือในผู้ที่รับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน
การติดต่อของไวรัสตับอักเสบเอ
การแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบเอส่วนใหญ่เกิดจาก การรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปาก ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่ปรุงไม่สะอาด น้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน หรือการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ เช่น การใช้ภาชนะหรือสิ่งของร่วมกัน โดยเชื้อไวรัสนี้สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ค่อนข้างนาน จึงแพร่ระบาดได้ง่ายหากขาดการดูแลเรื่องสุขอนามัย
อาการของไวรัสตับอักเสบเอ
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมักมีอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2–6 สัปดาห์ อาการที่พบได้ ได้แก่

- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณชายโครงขวา
- ตัวเหลือง ตาเหลือง และปัสสาวะสีเข้ม
- บางรายอาจมีไข้ต่ำและอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่
ถึงแม้อาการเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบาย แต่ส่วนใหญ่เป็นภาวะชั่วคราวและสามารถหายได้เอง โดยไม่พัฒนาไปเป็นโรคตับเรื้อรังเหมือนชนิด B หรือ C
การรักษาไวรัสตับอักเสบเอ
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะสำหรับการรักษาไวรัสตับอักเสบเอ การดูแลรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่ การบรรเทาอาการและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เช่น ดื่มน้ำมาก ๆ รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย งดการดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงยาที่อาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายเป็นปกติภายในไม่กี่สัปดาห์ถึงสองเดือน สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันไวรัสตับอักเสบเอคือ การฉีดวัคซีน ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ยาวนาน รวมถึงการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เช่น การล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และการเลือกบริโภคอาหารและน้ำที่สะอาด
ไวรัสตับอักเสบบี การติดเชื้อ ผลกระทบ และแนวทางการดูแล

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus – HBV) เป็นหนึ่งในเชื้อไวรัสที่สร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรโลกอย่างกว้างขวาง และถือเป็น สาเหตุสำคัญของโรคตับแข็งและมะเร็งตับ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึงช่วงวัยผู้ใหญ่ และหากไม่ได้รับการป้องกันหรือการรักษาที่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดปัญหาระยะยาวต่อชีวิตได้
การติดเชื้อ
การแพร่กระจายของไวรัสตับอักเสบบีเกิดขึ้นจาก การสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่ง ของผู้ที่ติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสักหรือเจาะร่างกายด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด และการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกขณะคลอด นอกจากนี้ การติดเชื้อในวัยเด็ก โดยเฉพาะการติดเชื้อในทารกแรกเกิด มีโอกาสพัฒนาเป็นการติดเชื้อเรื้อรังสูงกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า
ผลกระทบ
ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจำนวนมากมักไม่มีอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น จึงไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ แต่เชื้อไวรัสสามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับเรื้อรัง เมื่อเวลาผ่านไปอาจนำไปสู่ ตับแข็ง ภาวะตับวาย และมะเร็งตับ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในคนไทยจำนวนมาก ผู้ที่ติดเชื้อเรื้อรังจึงควรได้รับการติดตามอาการและตรวจสุขภาพตับอย่างต่อเนื่อง
แนวทางการดูแล
แม้ยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีออกจากร่างกายได้ทั้งหมด แต่การดูแลรักษาในปัจจุบันสามารถควบคุมโรคและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ โดยแนวทางหลัก ได้แก่
- การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี: เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพสูงและถือเป็นวัคซีนพื้นฐานในเด็กแรกเกิดในประเทศไทย
- การใช้ยาต้านไวรัส: สำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อเรื้อรังและมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคตับ การรักษาด้วยยาต้านไวรัส เช่น Tenofovir หรือ Entecavir สามารถกดการแบ่งตัวของเชื้อ และช่วยชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- การดูแลสุขภาพตับในชีวิตประจำวัน: หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
การป้องกันไวรัสตับอักเสบบียังคงเป็นกุญแจสำคัญที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน และเด็กแรกเกิด การได้รับวัคซีนตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการลดภาระโรคนี้ในระยะยาว
ไวรัสตับอักเสบซี ความเสี่ยง อาการเรื้อรัง และการรักษาสมัยใหม่

หากพูดถึงไวรัสตับอักเสบซี หลายคนอาจไม่คุ้นเคยเท่ากับชนิดเอหรือบี แต่ในความจริงแล้ว โรคนี้คือหนึ่งใน ภัยเงียบ ที่สร้างภาระต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลก และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับแข็งและมะเร็งตับในคนไทยจำนวนไม่น้อย จุดที่น่ากังวลคือ ไวรัสชนิดนี้ ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ทำให้การดูแลป้องกันและการตรวจสุขภาพตับเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
ความเสี่ยงที่อาจไม่รู้ตัว
ไวรัสตับอักเสบซีมักแพร่เชื้อผ่านทางเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัก เจาะร่างกาย หรือทำหัตถการด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ในอดีตยังมีกรณีติดเชื้อจากการรับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะที่ไม่ได้ตรวจเชื้อเข้มงวดเหมือนปัจจุบัน อีกทั้งการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดยเฉพาะเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ก็อาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงได้
สิ่งที่ทำให้ไวรัสชนิดนี้น่ากังวลคือ คนจำนวนมากที่ติดเชื้อ ไม่รู้ตัวเลย เพราะไม่มีอาการเด่นชัดในระยะแรก และอาจดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นโรคเรื้อรัง
อาการเรื้อรังที่กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไป
ต่างจากไวรัสตับอักเสบเอที่หายได้เอง และไวรัสตับอักเสบบีที่มีวัคซีนป้องกัน ไวรัสตับอักเสบซีนั้น มักพัฒนาไปเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปีกว่าจะปรากฏอาการ เมื่อถึงเวลานั้น ตับอาจถูกทำลายไปแล้วอย่างมาก อาการที่พบได้ เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือท้องบวมจากน้ำคั่งในช่องท้อง ซึ่งเป็นสัญญาณของตับแข็งหรือโรคตับระยะรุนแรง
การรักษาสมัยใหม่ที่เปลี่ยนชีวิตผู้ป่วย
ข่าวดีคือ ปัจจุบันวงการแพทย์ได้พัฒนายาที่ช่วยพลิกโฉมการรักษาไวรัสตับอักเสบซีโดยสิ้นเชิง ยากลุ่ม Direct-Acting Antivirals (DAAs) มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อ สามารถรักษาหายขาดได้กว่า 95% ภายในเวลาเพียง 8–12 สัปดาห์ ผลข้างเคียงน้อยกว่ายารุ่นเก่า และผู้ป่วยจำนวนมากสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตปกติได้อีกครั้ง
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะจากเดิมที่ไวรัสตับอักเสบซีถูกมองว่าเป็นโรคที่ “อยู่กับไปตลอดชีวิต” วันนี้การรักษาที่เหมาะสมสามารถทำให้ผู้ติดเชื้อปลอดไวรัสได้อย่างถาวร ไวรัสตับอักเสบซีอาจดูเหมือนไกลตัว แต่ความจริงแล้วมันสามารถซ่อนอยู่ในคนรอบข้างได้โดยที่ไม่มีใครรู้ การตรวจเลือดหาเชื้อจึงเป็นวิธีเดียวที่จะยืนยันได้ชัดเจน และหากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ โอกาสรักษาหายขาดก็มีสูงมาก ยิ่งเข้าถึงยาสมัยใหม่เร็วเท่าไร ความเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับในอนาคตก็ยิ่งลดลง

อาการที่ควรเฝ้าระวังของ ไวรัสตับอักเสบ แต่ละชนิด
โรคตับอักเสบจากไวรัสไม่ว่าจะเป็นชนิด A, B หรือ C มักเริ่มต้นด้วยอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือคลื่นไส้ ซึ่งอาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงการพักผ่อนไม่เพียงพอหรือโรคทั่วไป อย่างไรก็ตาม หากละเลยสัญญาณเหล่านี้ อาจทำให้โรคพัฒนาไปจนเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ในที่สุด สิ่งสำคัญคือการสังเกต สัญญาณอันตราย ที่บ่งบอกว่าตับอาจทำงานผิดปกติ เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด ท้องบวม หรือมีอาการคันตามผิวหนัง อาการเหล่านี้ควรเข้าพบแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
ประเด็น | ไวรัสตับอักเสบ A | ไวรัสตับอักเสบ B | ไวรัสตับอักเสบ C |
---|---|---|---|
การเริ่มมีอาการ | ภายใน 2–6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ | ภายใน 1–4 เดือนหลังติดเชื้อ | มักไม่มีอาการชัดเจน อาจใช้เวลาหลายปี |
อาการทั่วไป | ไข้ต่ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดท้อง | อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดข้อ ตัวเหลือง | อ่อนเพลียเรื้อรัง ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร |
สัญญาณที่ควรระวัง | ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม แต่ส่วนใหญ่หายเอง | ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อาจกลายเป็นเรื้อรัง | ตัวเหลือง ตาเหลือง น้ำหนักลด ท้องบวม มักพบในระยะโรคตับเรื้อรัง |
ความเสี่ยงระยะยาว | ไม่ทำให้เป็นโรคตับเรื้อรัง | เสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับ หากเป็นเรื้อรัง | เสี่ยงสูงต่อการเป็นตับแข็งและมะเร็งตับ |
คำแนะนำสำคัญ | พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ ป้องกันด้วยวัคซีน | ฉีดวัคซีนป้องกัน ตรวจและใช้ยาต้านไวรัสหากจำเป็น | ตรวจเลือดหาเชื้อ และเข้ารับยาต้านไวรัสสมัยใหม่ (DAAs) |
ภาวะแทรกซ้อนของ ไวรัสตับอักเสบ (ตับแข็ง/มะเร็งตับ)
โรคไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะชนิดบี (HBV) และซี (HCV) ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด ตับแข็งและมะเร็งตับ ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงในประเทศไทย ปัญหาสำคัญคือผู้ป่วยจำนวนมากมักไม่รู้ตัวว่ามีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย เพราะอาการในระยะแรกไม่เด่นชัด เมื่อมารู้ตัวอีกครั้งก็มักอยู่ในระยะที่โรคดำเนินไปมากแล้ว
ตับแข็ง (Cirrhosis)
ตับแข็งเกิดจากการที่เนื้อตับถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง จนเกิดพังผืดและแผลเป็น แทนที่เนื้อตับปกติ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของตับลดลงเรื่อย ๆ ผู้ป่วยตับแข็งอาจมีอาการ เช่น ท้องมาน ขาบวม เส้นเลือดขอดในหลอดอาหารที่อาจแตกและทำให้เสียเลือดมาก อาการคันตามผิวหนัง หรือภาวะสมองเสื่อมจากตับ (Hepatic encephalopathy) สาเหตุที่ทำให้เกิดตับแข็งมากที่สุดในประเทศไทย คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรัง ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น การดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง และภาวะไขมันพอกตับ
มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma: HCC)
มะเร็งตับมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีตับแข็งอยู่ก่อน โดยเซลล์ตับที่ถูกกระตุ้นให้ซ่อมแซมตัวเองซ้ำ ๆ จากการอักเสบเรื้อรัง จะกลายพันธุ์และพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด ไวรัสตับอักเสบบีมีความพิเศษตรงที่สามารถแทรกสารพันธุกรรมเข้าไปในเซลล์ตับได้ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับได้แม้บางรายยังไม่เกิดตับแข็ง อาการที่ควรระวัง ได้แก่ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร ปวดท้องเรื้อรัง ท้องโตผิดปกติ และมีภาวะตาเหลือง ตัวเหลืองอย่างต่อเนื่อง
การตรวจวินิจฉัย ไวรัสตับอักเสบ
การตรวจวินิจฉัยเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการรับมือกับโรคไวรัสตับอักเสบ เนื่องจากผู้ติดเชื้อจำนวนมากอาจไม่มีอาการใด ๆ ในระยะเริ่มต้น หากไม่เข้ารับการตรวจ อาจปล่อยให้โรคดำเนินต่อไปจนเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ การตรวจที่เหมาะสมจึงช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาและป้องกันการแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย
- แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสักหรือเจาะร่างกายโดยไม่ได้มาตรฐาน การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน รวมถึงประวัติการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี จากนั้นจะตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อหาสัญญาณผิดปกติ เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง หรือตับโต
- การตรวจเลือด
- เป็นวิธีหลักในการวินิจฉัย โดยสามารถตรวจได้หลายรูปแบบ เช่น
- การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Antibody test): เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อมาก่อนหรือไม่ และร่างกายมีภูมิคุ้มกันเพียงพอหรือไม่
- การตรวจหาสารแอนติเจนและสารพันธุกรรมของไวรัส: เช่น HBsAg สำหรับไวรัสตับอักเสบบี หรือ HCV RNA สำหรับไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งบ่งบอกว่ามีการติดเชื้ออยู่จริงและเชื้อยังคงแบ่งตัว
- การตรวจค่าการทำงานของตับ (Liver function test): เช่น ค่าเอนไซม์ ALT และ AST ที่ช่วยบ่งชี้ว่ามีการอักเสบหรือความเสียหายที่ตับหรือไม่
- เป็นวิธีหลักในการวินิจฉัย โดยสามารถตรวจได้หลายรูปแบบ เช่น
- การตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินตับ
- ในกรณีที่พบการติดเชื้อ แพทย์อาจแนะนำการตรวจเพิ่มเติม เช่น
- อัลตราซาวด์ช่องท้อง (Ultrasound): ใช้ตรวจหาความผิดปกติของตับ เช่น ตับโต ตับแข็ง หรือก้อนมะเร็ง
- FibroScan: ตรวจความยืดหยุ่นของเนื้อตับ เพื่อประเมินภาวะพังผืดและตับแข็ง โดยไม่ต้องเจาะชิ้นเนื้อตับ
- การตรวจชิ้นเนื้อตับ (Liver biopsy): ในบางรายอาจใช้วิธีนี้เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายของเนื้อตับ
- ในกรณีที่พบการติดเชื้อ แพทย์อาจแนะนำการตรวจเพิ่มเติม เช่น

วัคซีนและการป้องกันการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษา เพราะเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบีและซี อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงในอนาคต การใช้วัคซีนร่วมกับการปรับพฤติกรรมสุขภาพจึงเป็นแนวทางหลักในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
วัคซีนป้องกัน
- ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A): มีวัคซีนที่ให้ผลในการสร้างภูมิคุ้มกันได้ยาวนาน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน โดยเฉพาะเด็ก ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ที่มีการระบาดสูง และผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศในพื้นที่เสี่ยง
- ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B): วัคซีนชนิดนี้เป็นหนึ่งในวัคซีนพื้นฐานที่เด็กแรกเกิดทุกคนในประเทศไทยได้รับตั้งแต่แรกคลอด และสามารถฉีดเสริมได้ในผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนหรือไม่มีภูมิคุ้มกัน ถือเป็นมาตรการป้องกันการติดเชื้อเรื้อรังและมะเร็งตับที่ได้ผลดีที่สุด
- ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C): ปัจจุบันยัง ไม่มีวัคซีนป้องกัน เนื่องจากไวรัสชนิดนี้มีการกลายพันธุ์สูง อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้มีการพัฒนายาใหม่ที่รักษาให้หายขาดได้
การป้องกันนอกเหนือจากวัคซีน
แม้ว่าวัคซีนจะช่วยลดความเสี่ยงอย่างมาก แต่การดูแลพฤติกรรมสุขภาพก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ได้แก่
- รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล: ล้างมือบ่อย ๆ กินอาหารที่สะอาด ดื่มน้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่ง: ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ที่มีเลือดปนร่วมกับผู้อื่น
- การทำหัตถการทางการแพทย์และความงามอย่างปลอดภัย: เช่น การสัก เจาะร่างกาย หรือการทำฟัน ควรเลือกสถานพยาบาลหรือร้านที่ได้มาตรฐานและใช้อุปกรณ์ปลอดเชื้อ
- การตรวจสุขภาพและคัดกรองกลุ่มเสี่ยง: โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคตับอักเสบ ควรเข้ารับการตรวจเลือดเป็นประจำ
วัคซีนและการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงถือเป็น “เกราะป้องกัน” ที่ดีที่สุดต่อโรคไวรัสตับอักเสบ ยิ่งได้รับวัคซีนตั้งแต่เนิ่น ๆ และปรับพฤติกรรมสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่จะหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงในอนาคตก็ยิ่งสูงขึ้น
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบทำลายตับ อาการ สาเหตุ การรักษา การป้องกัน
- วันรณรงค์ตรวจเอชไอวี 1 กรกฎาคม – ตรวจเร็ว รู้ทัน ป้องกันได้
สรุป: ทำไมการตรวจและป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงสำคัญ
ไวรัสตับอักเสบ A, B และ C แม้จะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านการติดต่อ ความรุนแรง และแนวทางการรักษา แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ย่อมเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย การตรวจคัดกรองตั้งแต่ระยะเริ่มต้นช่วยให้สามารถค้นหาผู้ติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการได้ และนำไปสู่การรักษาที่ทันเวลา โดยเฉพาะในกรณีของไวรัสตับอักเสบซี ที่ปัจจุบันมี ยาต้านไวรัสสมัยใหม่ที่รักษาหายขาดได้ และในกรณีของไวรัสตับอักเสบบีและเอ การฉีดวัคซีนตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็เป็นเกราะป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้
“การป้องกันยังหมายถึงการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น รับประทานอาหารและน้ำที่สะอาด หลีกเลี่ยงการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เมื่อผนวกเข้ากับการฉีดวัคซีนและการดูแลตับอย่างเหมาะสม จะช่วยลดภาระโรคไวรัสตับอักเสบในระยะยาวได้อย่างแท้จริง”
ดังนั้น “การตรวจและป้องกันไวรัสตับอักเสบตั้งแต่เนิ่น ๆ” จึงไม่ใช่เพียงการดูแลตัวเอง แต่ยังเป็นการปกป้องครอบครัวและสังคมจากโรคร้ายที่สามารถป้องกันและควบคุมได้ หากทุกคนใส่ใจตั้งแต่วันนี้ อนาคตที่ปลอดภัยจากโรคตับอักเสบก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
อ้างอิงข้อมูลจาก:
รพ.จุฬาภรณ์แนะกลุ่มเสี่ยงเกิดก่อนปี 2535 ตรวจคัดกรอง-ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
สาเหตุ “ตับอักเสบ” คนไทยกว่า 3 ล้านคน เสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
จุฬาฯ เผยผลสำเร็จ 30 ปีแห่งการขจัดไวรัสตับอักเสบบีและซี