หลายคนอาจมองว่า ถุงยางรั่ว เป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุระหว่างมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่น่ากังวลมากนัก แต่ความจริงแล้ว ปัญหานี้อาจนำไปสู่ผลกระทบที่ใหญ่กว่าที่คิด ทั้งความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ หากไม่รู้ทันและรับมืออย่างถูกวิธีในเวลาที่เหมาะสม การเรียนรู้วิธีสังเกตว่า “ถุงยางรั่วหรือไม่” รวมถึงแนวทางการปฏิบัติหลังพบเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ เพื่อปกป้องสุขภาพของตนเองและคู่ของคุณให้ปลอดภัยที่สุดในทุกครั้งที่มีความสัมพันธ์ทางเพศ
ถุงยางรั่ว เกิดได้จากสาเหตุอะไรบ้าง?
แม้ถุงยางอนามัยจะเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่หากใช้อย่างไม่ถูกวิธี หรือดูแลรักษาไม่เหมาะสม ก็อาจเกิดถุงยางรั่วได้โดยไม่รู้ตัว มาดูสาเหตุที่พบบ่อยและควรระวังกัน
- ถุงยางอนามัยหมดอายุ หลายคนมักไม่ทันสังเกตวันหมดอายุบนซองถุงยาง แต่เมื่อถุงยางเสื่อมสภาพ เนื้อยางจะเปราะ แตกง่าย และสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดการรั่วหรือขาดระหว่างใช้งานได้ง่ายมาก
- ถุงยางอนามัยไม่ได้ขนาด การเลือกขนาดไม่พอดีเป็นอีกสาเหตุสำคัญ ถ้าแน่นเกินไปอาจทำให้ยางตึงและขาด ส่วนถ้าหลวมเกินไปอาจหลุดออกมาได้ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นควรเลือกขนาดที่กระชับพอดี ไม่รัดแน่นจนรู้สึกไม่สบาย
- ใส่ถุงยางอนามัยผิดวิธี เช่น ใส่กลับด้าน ดึงปลายถุงไม่ออกก่อนใส่ หรือไม่เหลือช่องว่างตรงปลายถุงสำหรับรองรับน้ำอสุจิ ซึ่งอาจทำให้แรงดันภายในสูงเกินจนถุงยางแตก หรือหลุดได้ง่าย
- ถุงยางอนามัยถูกสัมผัสกับวัตถุมีคม หรือความร้อน การเปิดซองด้วยกรรไกร มีด หรือแม้แต่เล็บมือที่ยาว อาจทำให้ถุงยางเกิดรอยขาดเล็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับการนำถุงยางไปสัมผัสกับของมีคม หรือเก็บไว้ใกล้ความร้อน เช่น ไฟแช็ก หรือเครื่องเป่าผม ซึ่งทำให้เนื้อยางเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น
- เก็บไว้ในที่ร้อนมาก ๆ หรือโดนแดดโดยตรง อุณหภูมิสูงและแสงแดดเป็นศัตรูตัวร้ายของถุงยาง เพราะทำให้เนื้อยางแห้งกรอบ แตกง่าย จึงไม่ควรเก็บไว้ในรถยนต์ กระเป๋ากางเกง หรือกระเป๋าสตางค์เป็นเวลานาน ทางที่ดีควรเก็บไว้ในที่เย็นและแห้ง เพื่อรักษาคุณภาพให้คงทนและพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัยเสมอ
วิธีสังเกตว่า ถุงยางรั่ว หรือไม่?

การสังเกตว่าถุงยางอนามัยรั่วหรือไม่ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วสามารถตรวจสอบได้ง่ายทั้ง “ก่อน” และ “หลัง” การมีเพศสัมพันธ์ เพื่อความมั่นใจและปลอดภัยสูงสุด

↪ ก่อนมีเพศสัมพันธ์
เมื่อสวมถุงยางอนามัยเข้าไปแล้ว ให้ลองสังเกต “กระเปาะเล็ก ๆ” ตรงปลายถุงยาง ซึ่งเป็นช่องสำหรับรองรับน้ำอสุจิ หากลอง กดกระเปาะแล้วไม่คืนรูป หรือยุบตัวค้างไว้ แสดงว่าถุงยางอาจรั่วหรือมีรูรอยแตกเล็ก ๆ อยู่ แต่ถ้ากดแล้วกระเปาะ คืนรูปได้ตามปกติ ก็ถือว่าใช้งานได้ จากนั้นควร บีบปลายกระเปาะเพื่อไล่อากาศออกก่อนรูดลงจนสุดโคนอวัยวะเพศ ขั้นตอนนี้ช่วยลดโอกาสการแตกหรือรั่วระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมาก
↪ หลังมีเพศสัมพันธ์
เมื่อเสร็จกิจแล้ว ให้ ถอนอวัยวะเพศก่อนอ่อนตัว เพื่อป้องกันการหลุดหรือหก จากนั้นรูดถุงยางออกอย่างระมัดระวัง แล้วสามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ง่าย ๆ โดยการ ใส่น้ำลงในถุงยาง หากมีน้ำซึมหรือไหลออกมา แสดงว่าถุงยางรั่ว แต่ถ้าไม่มีน้ำรั่วซึม แปลว่าปลอดภัย
เคล็ดลับการใช้ถุงยางอนามัยให้ถูกวิธีและลดความเสี่ยงการรั่ว
- ตรวจสอบวันหมดอายุ ทุกครั้งก่อนใช้งาน ถ้าหมดอายุแล้วห้ามใช้เด็ดขาด เพราะเนื้อยางเสื่อมสภาพ
- เลือกขนาดที่เหมาะสมกับอวัยวะเพศ ไม่หลวมหรือแน่นเกินไป
- ฉีกซองด้วยความระมัดระวัง ไม่ใช้ของมีคมหรือเล็บจิก เพื่อป้องกันการขาดตั้งแต่ยังไม่ใช้งาน
- สวมเมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่แล้ว เพื่อให้กระชับและลดการเสียดสีจนรั่ว
- บีบปลายถุงเพื่อไล่อากาศออก ก่อนรูดลงให้สุดถึงโคนอวัยวะเพศ
- หลังเสร็จกิจ ควรถอนออกขณะอวัยวะเพศยังแข็งตัวอยู่ เพื่อป้องกันการหลุดหรือหก
- ห่อและทิ้งถุงยางอย่างถูกวิธี ไม่ทิ้งลงชักโครก แต่ควรห่อด้วยกระดาษทิ้งลงถังขยะที่มีฝาปิด
การใส่ใจขั้นตอนเล็ก ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้ถุงยางอนามัยทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ป้องกันทั้งโรคและการตั้งครรภ์ได้อย่างมั่นใจทุกครั้งที่ใช้งาน

คู่มือการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง
ถุงยางอนามัยไม่ใช่เพียงอุปกรณ์คุมกำเนิดเท่านั้น แต่ยังเป็น “เกราะป้องกันสำคัญ” ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หรือแม้แต่เอชไอวี การใช้ถุงยางอย่างถูกวิธีจึงไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือซับซ้อน แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้ เพื่อดูแลตัวเองและคู่ของคุณให้ปลอดภัยในทุกครั้งที่มีความสัมพันธ์ทางเพศ อย่างไรก็ตาม ถุงยางอนามัยจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ “ใช้ถูกวิธี” ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงการทิ้งอย่างเหมาะสม ซึ่งในคู่มือนี้ เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจแบบละเอียดทีละขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกครั้งที่ใช้ถุงยางคือ “ครั้งที่ปลอดภัยจริง”
1. ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ก่อนใช้งาน
ก่อนเปิดซองถุงยางอนามัยทุกครั้ง ควรสังเกตวันหมดอายุและสภาพของซองบรรจุ ถุงยางที่หมดอายุหรือถูกเก็บไว้ไม่เหมาะสม เช่น ร้อนจัด หรือโดนแดดบ่อย จะทำให้เนื้อยางเสื่อมสภาพ แตกง่าย และไม่ยืดหยุ่น และควรดูให้แน่ใจว่าซองไม่บวม ไม่ฉีก และไม่เปียก เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าถุงยางภายในได้รับความเสียหายแล้ว หากพบความผิดปกติ ควรเปลี่ยนใหม่ทันที
2. เปิดซองอย่างระมัดระวัง
ขั้นตอนเล็ก ๆ ที่หลายคนพลาดคือการ “ฉีกซองถุงยางอนามัยผิดวิธี” บางคนใช้ฟันกัด เล็บจิก หรือใช้ของมีคมช่วยเปิด ซึ่งอาจทำให้ถุงยางอนามัยขาดตั้งแต่ยังไม่เริ่มใช้งาน ควรฉีกซองด้วยมืออย่างระมัดระวัง จากรอยหยักที่ผู้ผลิตออกแบบไว้ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสถุงยางอนามัยกับเครื่องประดับ หรือของมีคม เช่น แหวน นาฬิกา เข็มขัด และไม่ควรใช้กรรไกร หรือคัตเตอร์ตัดถุงยางเด็ดขาด
3. สวมเมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่
การสวมถุงยางอนามัยตอนที่อวัยวะเพศยังไม่แข็งตัวเต็มที่ อาจทำให้สวมไม่แน่นและหลุดออกมาได้ง่าย ในระหว่างการเคลื่อนไหวกิจกรรมทางเพศ ดังนั้น ควรรอจนแข็งตัวก่อนสวม เพื่อให้ถุงยางแนบกระชับกับผิวหนังได้พอดี โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหลุด
4. บีบกระเปาะปลายถุงก่อนสวมใส่
ปลายถุงยางจะมีกระเปาะเล็ก ๆ สำหรับรองรับน้ำอสุจิ ก่อนรูดลงควรใช้สองนิ้วบีบกระเปาะไว้เพื่อไล่อากาศออก หากมีอากาศค้างอยู่ภายใน เมื่อเกิดแรงดันระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ถุงอาจแตกได้ง่าย การบีบไล่อากาศจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
5. รูดลงให้สุดถึงโคนอวัยวะเพศ
ในขณะที่บีบกระเปาะไว้ ให้ใช้มืออีกข้างค่อย ๆ รูดถุงยางอนามัยลงมาจนสุดโคนอวัยวะเพศ ถุงยางควรแนบสนิทกับผิวโดยไม่หลวม หากรู้สึกตึง หรือแน่นจนเกินไป แสดงว่าขนาดไม่พอดี ควรเปลี่ยนใหม่ทันที อย่าฝืนใช้ เพราะจะทำให้แตกง่าย หากสวมผิดด้าน (คือรูดไม่ลง) ห้ามกลับด้านใช้ซ้ำ เพราะถุงอาจเปื้อนน้ำหล่อลื่น หรือน้ำอสุจิที่ปลายไปเรียบร้อยแล้ว เกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรคได้ ควรเปลี่ยนถุงใหม่ทุกครั้งที่เกิดข้อผิดพลาด
6. ใช้สารหล่อลื่นให้ถูกประเภท
สารหล่อลื่นช่วยลดแรงเสียดสีและลดโอกาสที่ถุงยางจะฉีกขาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ แต่ต้องเลือกชนิดให้เหมาะสม คือ สูตรน้ำ (Water-based) เท่านั้น เพราะหากใช้สูตรน้ำมัน เช่น วาสลีน เบบี้ออยล์ หรือโลชั่นต่าง ๆ จะทำให้เนื้อยางเสื่อมและขาดได้ง่าย หากต้องการความลื่นเพิ่มเติม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองว่า “ปลอดภัยกับถุงยางอนามัย” และควรทาในปริมาณพอดี ไม่มากเกินไปจนถุงลื่นหลุด
7. หลังเสร็จกิจ ควรถอนออกอย่างถูกวิธี
หลังเสร็จกิจ ควรถอนอวัยวะเพศออกในขณะที่ยังแข็งตัวอยู่ โดยจับที่โคนถุงยางไว้แน่นเพื่อป้องกันการหลุดหรือหก หลังจากนั้นค่อย ๆ รูดถุงยางออกอย่างระมัดระวัง ห้ามเทน้ำอสุจิทิ้งในขณะที่ยังสวมถุงอยู่ เพราะอาจทำให้เลอะเทอะหรือหกได้
8. ตรวจสอบหลังใช้งานเสร็จแล้ว
เมื่อถอดถุงยางอนามัยออกแล้ว ควรตรวจดูว่ามีรอยขาด รอยรั่ว หรือมีน้ำซึมออกมาหรือไม่ หากพบความผิดปกติ ควรรีบดำเนินการตามแนวทางป้องกันความเสี่ยง เช่น ปรึกษาแพทย์หรือคลินิกเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมในการรับยาเป๊ป (PEP)
9. ทิ้งอย่างถูกวิธี
เมื่อใช้งานเสร็จแล้ว ควรผูกหรือห่อถุงยางอนามัยด้วยกระดาษทิชชู ใส่ซองบรรจุภัณฑ์เดิม แล้วทิ้งลงถังขยะที่มีฝาปิด ห้ามทิ้งลงชักโครกเด็ดขาด เพราะจะทำให้ท่ออุดตัน และเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
10. การเก็บรักษาถุงยางอนามัย
ควรกเก็บไว้ในที่เย็น แห้ง และพ้นแสงแดดโดยตรง หลีกเลี่ยงการเก็บในรถยนต์ กระเป๋าสตางค์เป็นเวลานาน เพราะความร้อนและแรงกดจะทำให้เนื้อยางเสื่อมสภาพได้ ควรเก็บไว้ในลิ้นชัก หรือตู้เก็บของ

การเลือกขนาดถุงยางอนามัย
การเลือกขนาดของถุงยางอนามัยให้พอดีกับอวัยวะเพศเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากเลือกขนาดไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น ถุงยาง รั่ว แตก หรือหลุดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งไม่เพียงลดประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย
หลักการง่าย ๆ คือควรเลือกขนาดที่ พอดี ไม่แน่นเกินไปและไม่หลวมเกินไป
- ถ้าถุงยาง แน่นเกินไป อาจขาดจากแรงเสียดสีหรือแรงดันภายใน
- ถ้าถุงยาง หลวมเกินไป อาจหลุดระหว่างการใช้งาน
ตารางต่อไปนี้คือ ขนาดถุงยางอนามัยมาตรฐาน ที่นิยมใช้ พร้อมขนาดรอบวงอวัยวะเพศที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้เลือกได้ง่ายขึ้น 👇
ขนาดถุงยาง (มิลลิเมตร) | รอบวงอวัยวะเพศ (เซนติเมตร) | รอบวงอวัยวะเพศ (นิ้ว) | เหมาะสำหรับ |
---|---|---|---|
49 มม. | ประมาณ 11 – 12 ซม. | ประมาณ 4.5 นิ้ว | ขนาดเล็ก / กระชับ |
52 มม. | ประมาณ 12 – 13 ซม. | ประมาณ 5 นิ้ว | ขนาดมาตรฐาน / คนส่วนใหญ่ใช้ |
54 มม. | ประมาณ 13 – 14 ซม. | ประมาณ 5.5 นิ้ว | ขนาดใหญ่ / ผู้ที่รู้สึกแน่นกับไซซ์ปกติ |
56 มม. | ประมาณ 14 – 15 ซม. | ประมาณ 6 นิ้ว | ขนาดใหญ่พิเศษ / สำหรับผู้ที่ต้องการความสบายมากขึ้น |
เคล็ดลับ:
- หากไม่แน่ใจ ควรเริ่มจากขนาดมาตรฐาน (52 มม.) ก่อน แล้วปรับตามความเหมาะสมในการใช้งานครั้งต่อไป
- ไม่ควรใช้ถุงยางขนาดเล็กกว่าที่ควร เพราะเสี่ยงต่อการแตกขณะใช้งาน
- การเลือกขนาดที่เหมาะสมช่วยให้สวมง่าย กระชับ ปลอดภัย และเพิ่มความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้นขณะมีเพศสัมพันธ์
ประโยชน์ของถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัยถือเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่สุดในการดูแลสุขภาพทางเพศ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากโรคติดต่อ แต่ยังช่วยให้คู่รักสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น มาดูกันว่าถุงยางอนามัยมีประโยชน์สำคัญอะไรบ้าง 👇
- ป้องกันการตั้งครรภ์
- การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีในทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉลี่ยแล้วมีประสิทธิภาพมากกว่า 98% หากใช้อย่างถูกต้อง เพราะถุงยางทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นไม่ให้น้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจได้อย่างดีเยี่ย
- ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการสัมผัสโดยตรงของสารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด หรือเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ เช่น
- ซิฟิลิส (Syphilis)
- หนองใน (Gonorrhea)
- เริมอวัยวะเพศ (Genital Herpes)
- ไวรัสตับอักเสบบีและซี (Hepatitis B, C)
- เอชไอวี (HIV)
- เมื่อใช้ถุงยางทุกครั้งระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอด ช่องปาก หรือทวารหนัก จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการสัมผัสโดยตรงของสารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด หรือเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ เช่น
- ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวี
- สำหรับคู่รักที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเอชไอวี การใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีถือเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังอีกฝ่าย ถุงยางช่วยป้องกันการสัมผัสกับของเหลวในร่างกายที่มีเชื้อเอชไอวี เช่น น้ำอสุจิและเลือด ซึ่งเป็นช่องทางหลักของการแพร่เชื้อ นอกจากนี้ การใช้ถุงยางร่วมกับยาต้านไวรัสตามคำแนะนำของแพทย์ ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจนแทบเป็นศูนย์ได้
- ช่วยให้มีเพศสัมพันธ์ได้อย่างเพลิดเพลินและมั่นใจ
- หลายคนอาจคิดว่าการใช้ถุงยางจะลดความรู้สึกทางเพศ แต่ความจริงคือ เทคโนโลยีในปัจจุบันได้พัฒนาถุงยางให้บาง แนบสนิท และมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบผิวเรียบ ผิวขรุขระ กลิ่นหอม หรือแบบเสริมสารหล่อลื่น เพื่อเพิ่มความรู้สึกและความสุขขณะร่วมรัก อีกทั้งยังช่วยให้คุณรู้สึก มั่นใจ ปลอดภัย และไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งครรภ์หรือโรคติดต่อ ทำให้สามารถโฟกัสกับความสัมพันธ์อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- เลือกขนาดถุงยางอนามัยอย่างไร? ความสำคัญของการเลือกที่ถูกต้อง
- บทบาทของถุงยางอนามัย คู่มือการป้องกันโรค และวางแผนครอบครัว
สรุปส่งท้าย: วิธีป้องกันไม่ให้ถุงยางรั่ว
การป้องกันไม่ให้ถุงยางรั่วไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงแค่ใส่ใจใน “รายละเอียดเล็ก ๆ” ก็สามารถช่วยให้ถุงยางทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด เริ่มต้นตั้งแต่ การเลือกถุงยางที่มีคุณภาพและขนาดพอดี ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป ตรวจสอบวันหมดอายุทุกครั้งก่อนใช้งาน และ หลีกเลี่ยงการเก็บไว้ในที่ร้อนหรือโดนแดดโดยตรง
ขณะใช้งาน ควร บีบกระเปาะปลายถุงเพื่อไล่อากาศออกก่อนสวม รูดลงให้สุดถึงโคนอวัยวะเพศ และหากต้องการใช้สารหล่อลื่น ควรเลือกชนิดที่เป็น สูตรน้ำ (Water-based) เท่านั้น หลีกเลี่ยงสารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะอาจทำให้เนื้อยางเสื่อมและแตกง่าย
เมื่อเสร็จกิจแล้ว ให้ ถอนอวัยวะเพศก่อนอ่อนตัว พร้อมจับที่โคนถุงยางไว้แน่นเพื่อป้องกันการหลุด จากนั้นตรวจสอบสภาพถุงยาง หากไม่มีรอยขาดหรือรั่วซึม ให้ห่อและทิ้งลงถังขยะอย่างถูกวิธี
ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ความสม่ำเสมอ” — ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกับใครหรือเมื่อใด เพราะการป้องกันที่ดีที่สุด คือการไม่เปิดโอกาสให้ความเสี่ยงเกิดขึ้นตั้งแต่แรก การใช้ถุงยางอย่างถูกวิธี ไม่เพียงช่วยปกป้องร่างกายจากโรคติดต่อและการตั้งครรภ์ไม่พร้อม แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบ และการเคารพในสุขภาพของทั้งคุณและคนที่คุณรัก
อ้างอิงข้อมูลจาก:
รู้ไว้กันพลาด! ถุงยางแตก ขาด รั่ว ต้องทำยังไง?
ถุงยางแตก รั่ว จะรู้ได้อย่างไร คุยเรื่องเพศ
แย่แล้ว! ถุงยางแตกต้องทำไง?