ยาต้านไวรัส เอชไอวี (HIV)
การรักษาเอชไอวี โดยการใช้ยาต้านไวรัส hiv เป็นที่ยอมรับในปัจจุบันมากที่สุด โดยยาต้านจะยาเป็นชุด ( combination )โดยมียาตั้งแต่ 3 ชนิดร่วมกันต่อสู้กับเชื้อเอชไอวี HIV และเป็นยาที่ออกฤทธิ์ด้วยกระบวนการที่ต่างกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดจำนวนเชื้อ HIV ที่จะเกิดขึ้นใหม่ เนื่องจากเหตุผลที่ว่าจำเป็นต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพราะเชื้อ HIV มีการแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา
โดยปัจจุบันประเทศไทยเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV โดยเร็วโดยให้เริ่มใช้ยาต้านทุกระดับของ CD4 เริ่มยาต้านไวรัสในผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อทันทีในวันเดียวกันกับที่ทราบว่าติดเชื้อ (Same-Day ART) และคนไทยทุกคน ทุกสิทธิการรักษาพยาบาลสามารถรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้ฟรี

การทำงานของยาต้านไวรัสเอชไอวี
ยาต้านไวรัส HIV มีด้วยกันมากกว่า 20 ชนิด ออกฤทธิ์แตกต่างกันไป การเลือกใช้ยาจะพิจารณาตามความเหมาะสม และพิจารณาขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ทำการรักษา สำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยแบบแผนการรักษาที่จะให้ผลดี และช่วยลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ จะต้องใช้ยา 3 ตัวรวมกันหรือมากกว่า โดยการรักษาด้วยวิธีนี้ จะทำให้อัตราป่วยจากโรคแทรกซ้อน และอัตราการตายของผู้ป่วยเอดส์ ลดลงได้อย่างมาก ถึงแม้จะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ตาม ดังนั้นผู้ป่วยควรให้ความสำคัญกับการรับประทานยา ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ยาต้านเอชไอวีช่วยหยุดยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หมดไปจากร่างกายได้ ดังนั้นจึงต้องกินยาให้ตรงเวลา และต่อเนื่องเพื่อไม่เปิดโอกาสให้เชื้อดื้อยาได้ง่ายและสามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีไว้ได้ตลอดเวลา
ชนิดของยาต้านไวรัสเอชไอวี

ในปัจจุบันยาต้านไวรัส HIVที่ใช้กันนั้น มีกลุ่มใหญ่ 6 กลุ่ม
- Nucleoside/Nucleotide Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs)
- Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs)
- Protease Inhibitors (PIs)
- Entry Inhibitors
- Integrase Inhibitors
- Multi-Class Combinations
ยาต้านไวรัส “สำหรับป้องกันเชื้อเอชไอวี” มีอะไรบ้าง ?
ยาต้านไวรัสสำหรับป้องกันเชื้อเอชไอวี จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
PrEP ป้องกัน “ก่อน” สัมผัสเชื้อ
ยาเพร็พ หรือ PrEP (Pre-exposure prophylaxis) คือยาต้านไวรัสเอชไอวีสำหรับผู้ที่ไม่มีเชื้อ ใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มชายรักชาย สาวประเภทสอง หรือผู้ที่มีพฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย คู่นอนมีเชื้อเอชไอวี เป็นต้น ทานยาเพร็พ วันละ 1 เม็ด ให้ตรงเวลาเดิมของทุกวัน โดยจากการศึกษาวิจัยพบว่าการใช้ยาเพร็พ PrEP สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า 90%
PEP ป้องกัน “หลัง” สัมผัสเชื้อ
ยาเป๊ป PEP (Post-Exposure Prophylaxis) ยาต้านไวรัสกรณีฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี และต้องการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังมีความเสี่ยงสัมผัสเชื้อ โดยจำเป็นต้องกินยาเป๊ปให้เร็วที่สุดภายในเวลา 72 ชั่วโมง เพื่อต้านไวรัสและลดโอกาสการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งต้องกินยาเป๊ปอย่างต่อเนื่องวันละ 1 เม็ด ติดต่อกันนาน 28 วัน หากได้รับยาเร็ว ยาจะยิ่งมีประสิทธิภาพต่อร่างกายมากเท่านั้น และที่สำคัญขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้รับยาด้วยเช่นกัน
ยาต้านไวรัส HIV ราคาเท่าไร ?
ชนิดของยา | ราคา |
Lamivudine | 210 – 540 บาท |
Efavirenz | 210 – 840 บาท |
Tenofovir 300/Emtricitabine | 390 – 2,100 บาท |
Abacavir | 840 – 1,500 บาท |
Darunavir | 4,500 – 7,800 บาท |
PrEP (30 tablets) | 1,000 – 3,200 บาท |
PEP (30 tablets) | 2,500 – 18,200 บาท |
**ราคาจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสถานบริการและชนิดของยา**
ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานยาต้าน HIV
- รับประทานยาตามที่กำหนด ตรงเวลา และทุกวัน
- อย่าเปลี่ยนยาด้วยตนเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์
- หากจะใช้ยาอื่นนอกเหนือที่แพทย์สั่ง ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนทุกครั้ง
- ควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ หากหยุดยาระยะหนึ่งแล้วมารับประทานต่อ ก็อาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา การรักษาจะยิ่งยากมากขึ้น
- ถ้าพบว่าปฏิบัติตามแผนการรักษาได้ยาก ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อค้นหาแนวทางการรักษาใหม่ที่เหมาะสม
ผลข้างเคียงจากการทานยาต้านเชื้อเอชไอวี
แน่นอนว่าการทานยาต้านเอชไอวีในระยะยาว ยอมมีผลข้างเคียงที่ควรต้องพึงระวัง ดังนั้นเมื่อเราพบว่ามีอาการที่ไม่พึงประสงค์ หรือมีสัญญาณของอาการแพ้ยา ควรพบแพทย์เพื่อรับการเปลี่ยนยา และรับการรักษาที่ดีขึ้น โดยบางอาการอาจจะหายไปเองได้ใน 1-2 อาทิตย์ โดยผลข้างเคียงที่พบทั่วไปคือ
- อาการข้างเคียงในระยะสั้นและไม่รุนแรง พบได้และอาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายในเวลาประมาณ 2 – 3 เดือน เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด นอนไม่หลับ ฝันร้าย มีผื่นขึ้นเล็กน้อย
- อาการข้างเคียงในระยะสั้นและรุนแรง เช่น ภาวะซีด ตับหรือตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ชาปลายมือปลายเท้า นิ่วในไต ซึ่งอาจพบได้ทุกช่วงของการกินยา และอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้าไม่รีบแก้ไข ดังนั้น ต้องติดตามอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด มารับการตรวจตามนัดสม่ำเสมอ ถ้าพบอาการผิดปกติ เช่น ท้องอืด อาเจียน อ่อนเพลีย หมดแรง (อาการของภาวะกรดในเลือด) ต้องมาพบแพทย์ก่อนวันนัด
- อาการข้างเคียงในระยะยาว มักพบหลังจากกินยาเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป บางรายพบได้ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี อาการข้างเคียงในระยะยาว เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย การกระจายและสะสมของไขมันผิดปกติและผิดที่ มีไขมันพอกที่ต้นคอ ลำตัวอ้วน แขนขาลีบ แก้มตอบ

ยาต้านไวรัสสูตรใหม่ ช่วยลดอาการข้างเคียง
ยาต้านไวรัสเอชไอวีในปัจจุบัน ยังไม่มีตัวไหนที่สามารถรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้หาดขาดได้ จึงจำเป็นต้องรรับประทานยาไปตลอดชีวิต ดังนั้นจึงต้องพัฒนายาต้านที่สามารถรับประทานได้ง่าย ผลข้างเคียงน้อย และประสิทธิภาพการรักษาสูง เพื่อให้ผู้รับประทานยามีความร่วมมือในการรักษา อีกทั้งช่วยป้องกันภาวะภูมิคุ้มกันลดลงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งนำมาสู่การเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน
ตามแนวทางการักษาในปัจจุบันจากองค์การอนามัยโลก ประเทศสหรัฐอเมริกา และทวีปยุโรป แนะนำให้ใช้ยากลุ่ม Integrase inhibitors-based regimen เป็นทางเลือกหลัก เนื่องจากมีผลการศึกษารรับรองประสิทธิภาพ ผลข้างเคียงน้อยกว่า รวมถึงไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง
บทความเกี่ยวกับยาต้านเอชไอวี
สรุป ยาต้านเอชไอวี มีด้วยกันหลายสูตร ยาทุกสูตรที่ได้ผ่านการศึกษาในการรักษาผู้ป่วยเอดส์ที่เป็นมาตราฐาน ให้ผลการรักษาที่ไม่แตกต่างกัน ถ้ารับประทานยาแล้วไม่ได้ผล ต้องพิจารณาว่าสาเหตุไม่ได้เกิดจากโรคแทรกซ้อนใหม่ หรือผลข้างเคียงจากยาและการรักษาด้วยยาต้านฯไม่ทำให้เห็นผลได้ในทันที หรืออาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่แตกต่างกันไปในแต่ล่ะคน ดังนั้นถ้าเริ่มการรักษาด้วยยาต้านฯแล้วไม่ได้ผลในบางราย อาจต้องมีการเปลี่ยนสูตรยาต้านฯใหม่ที่จะตอบสนองต่อการรักษา หรือควบคุมเชื้อได้ดีกว่า