ยาต้านไวรัสเอชไอวี หรือ Antiretroviral Therapy (ART) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ยาต้านไวรัส เหล่านี้ทำงานโดยยับยั้งการแบ่งตัวของ HIV ในร่างกาย ส่งผลให้จำนวนลดลง และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงขึ้น นี่เป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการจัดการกับเอชไอวี โดยในบทความนี้ เราจะเจาะลึกโลกของ ยา ต้าน ไวรัส hiv สำรวจประเภท คุณประโยชน์ ผลข้างเคียง และการพัฒนาล่าสุดในการ รักษาเอชไอวี มาร่วมทำความเข้าใจว่า ยาเหล่านี้ได้ปฏิวัติการจัดการเอชไอวีอย่างไร
สารบัญ
- ยาต้านไวรัสเอชไอวี Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs)
- ยาต้านไวรัสเอชไอวี Non-nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs)
- Protease Inhibitors (PIs)
- Entry Inhibitors
- Integrase inhibitors (INIs)
3. ยาต้านไวรัส HIV ราคา เท่าไร
4. ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานยาต้าน HIV
5. ผลข้างเคียงจากการทาน ยาต้านไวรัสเอชไอวี
ชนิดของ ยาต้านไวรัสเอชไอวี
ยาต้าน hiv ถูกแบ่งออกเป็นหลายชนิด ซึ่งแต่ละตัวยาก็มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับระยะต่างๆ ของการติดเชื้อเอชไอวี ประกอบไปด้วยกลุ่มยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา ยาเสริมภูมิต้านทาน และอื่นๆ มาใช้ร่วมกันในการรักษาเอชไอวี ยาเหล่านี้ สามารถรับประทานเป็นยาเม็ด ยาฉีด หรือยาฝังใต้ผิวหนัง มักจะใช้ร่วมกันเป็นสูตรผสม 3 ชนิด (Triple Therapy) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสแบ่งออกเป็น 5 ชนิดหลักๆ ดังนี้
ยาต้านไวรัสเอชไอวี Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs)
นิวคลีโอไซด์ รีเวอรส์ ทรานสคริปเทส อินฮิบิเตอร์ เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีกลุ่มหนึ่ง ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์รีเวิร์สแทรนสคริปเทส (Reverse Transcriptase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ไวรัสเอชไอวีใช้ในการสร้างสำเนา DNA ของตัวเอง NRTIs เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ยากลุ่มนี้มักใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสเอชไอวีกลุ่มอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ตัวอย่างยา NRTIs ได้แก่
- ทีโนโฟเวียร์ Tenofovir Disoproxil Fumarate (TDF)
- เอ็มตริไซตาบีน Emtricitabine (FTC)
- อะบาคาเวียร์ Abacavir (ABC)
- ลามิวูดีน Lamivudine (3TC)
- ซิโดวูดีน Zidovudine (AZT)
- ไดดาโนซีน Didanosine (ddI)
ผลข้างเคียงของ NRTIs อาจเกิดขึ้นได้ แต่มักจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรง และสามารถหายไปได้เอง ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องเสีย อ่อนเพลีย
- ปวดศีรษะ
- ไขมันในเลือดสูง
- น้ำตาลในเลือดสูง
ยาต้านไวรัสเอชไอวี Non-nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs)
นอนนิวคลีโอไซด์ รีเวอรส์ ทรานสคริปเทส อินฮิบิเตอร์ ยาต้านไวรัสกลุ่มนี้ทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์รีเวิร์สแทรนสคริปเทส (Reverse Transcriptase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ไวรัสเอชไอวีใช้ในการสร้างสำเนา DNA ของตัวเอง เหมือนกับ NRTIs แต่ NNRTIs จะเป็นสารยับยั้ง Non-competitive ที่จับกับเอนไซม์รีเวิร์สแทรนสคริปเทส ที่ตำแหน่งใกล้กับตำแหน่งที่จับกับ นิวคลีโอไซด์ หรือนิวคลีโอไทด์ ส่งผลให้เอนไซม์นี้ไม่สามารถเปลี่ยน RNA ของไวรัสให้เป็น DNA ได้ ตัวอย่างยา NNRTIs ได้แก่
- เอฟฟาไวเร็น Efavirenz (EFV)
- ริลพิไวรีน Rilpivirine (RPV)
- โดลูเทกราเวียร์ Dolutegravir (DTG)
- อีทราไวรีน Etravirine (ETR)
- เนวิราพีน Nevirapine (NVP)
ผลข้างเคียงของ NNRTIs อาจเกิดขึ้นคล้ายยากลุ่ม NRTIs เช่น นอนฝันร้าย มีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น
ยา ต้าน hiv NRTIs และ NNRTIs มักใช้ร่วมกันในการรักษาเอชไอวี เพราะมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน จึงสามารถเสริมฤทธิ์กันในการยับยั้งเอนไซม์ RT ซึ่งช่วยลดโอกาสในการดื้อยา
Protease Inhibitors (PIs)
เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ทำหน้าที่ยับยั้งเอนไซม์ Protease ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ไวรัสเอชไอวีใช้ในการประกอบโปรตีนที่จำเป็น สำหรับการสร้างไวรัสใหม่ ทำให้เอนไซม์ไม่สามารถตัดสายโปรตีนที่จำเป็นสำหรับการสร้างไวรัสใหม่ได้ ส่งผลให้ไวรัสไม่สามารถประกอบตัวเอง และแพร่พันธุ์ได้ PIs เป็นหนึ่งในยา ARV กลุ่มแรกที่ได้รับการพัฒนา และยังคงเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี PIs มักใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสเอชไอวีกลุ่มอื่นๆ เช่น NRTIs และ NNRTIs เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ตัวอย่างยา PIs ได้แก่
- อะทาซานาเวียร์ Atazanavir (ATV)
- ดารูนาเวียร์ Darunavir (DRV)
- ฟอสแอมพรีนาเวียร์ Fosamprenavir (FPV)
- อินดินาเวียร์ Indinavir (IDV)
- โลปินาเวียร์ Lopinavir (LPV)
- เนลฟินาเวียร์ Nelfinavir (NFV)
- ริโตนาเวียร์ Ritonavir (RTV)
- ซาควินาเวียร์ Saquinavir (SQV)
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของ PIs ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ ไขมันในเลือดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปัญหาทางตับ และควรระมัดระวังหากใช้ยานี้ระหว่างยาอื่นๆ ยาต้านเชื้อรา ยาต้านไวรัสตับอักเสบซี และยารักษาโรคหัวใจด้วย
Entry Inhibitors
เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการจับตัวของไวรัสเอชไอวีกับเซลล์เม็ดเลือดขาว โดยการจับกับตัวรับ CCR5 หรือ CXCR4 ซึ่งเป็นตัวรับที่ไวรัสเอชไอวีใช้ในการเข้าสู่เซลล์ ทำให้ไวรัสไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่
- มาราไวรอค Maraviroc (MVC)
- เอ็นฟูเวอร์ไทด์ Enfuvirtide (ENF)
- บิคเทกราเวียร์ Bictegravir (BIC)
Entry Inhibitors มีจุดเด่นที่แตกต่างจาก ยาต้านไวรัสเอชไอวี กลุ่มอื่นๆ ตรงที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการจับตัวของไวรัสเอชไอวีกับเซลล์เม็ดเลือดขาวโดยตรง มีประสิทธิภาพสูงในการลดปริมาณไวรัสในเลือด และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีกลุ่มอื่นๆ
Integrase inhibitors (INIs)
เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวี ที่ทำหน้าที่ยับยั้งเอนไซม์ Integrase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ไวรัสเอชไอวีใช้ในการรวมสาย DNA ไวรัสเข้ากับสาย DNA ของเซลล์เม็ดเลือดขาว INIs เป็นหนึ่งในยาต้านไวรัสเอชไอวีกลุ่มล่าสุด ที่ได้รับการพัฒนา และมีประสิทธิภาพสูงในการลดปริมาณไวรัสในเลือด INIs มักใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสเอชไอวีกลุ่มอื่นๆ เช่น NRTIs, NNRTIs หรือ PIs เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา INIs จับกับเอนไซม์ Integrase ของไวรัสเอชไอวี ทำให้เอนไซม์ไม่สามารถรวมสาย DNA ไวรัสเข้ากับสาย DNA ของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ ส่งผลให้ไวรัสไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ ตัวอย่างยา INIs ได้แก่
- โดลูเทกราเวียร์ Dolutegravir (DTG)
- เอลวิเทกราเวียร์ Elvitegravir (EVG)
- ราลทิกราเวียร์ Raltegravir (RAL)
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของ INIs ได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เป็นต้น การรักษาด้วย ยาต้านไวรัส hiv เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ผู้ติดเชื้อที่เริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีตั้งแต่ระยะแรกๆ จะสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
โดยปัจจุบันประเทศไทยเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV โดยเร็ว โดยให้เริ่มใช้ยาต้านทุกระดับของ CD4 เริ่มยาต้านไวรัสในผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อทันทีในวันเดียวกันกับที่ทราบว่าติดเชื้อ (Same-Day ART) และคนไทยทุกคน ทุกสิทธิการรักษาพยาบาล สามารถรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้ฟรี!
Same-Day ART คืออะไร?
Same-Day ART หรือการเริ่มรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีภายในวันเดียวกับวันที่ตรวจ วินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี เป็นบริการที่จัดขึ้น เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีความพร้อมในการเริ่มยา และไม่มีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่เป็นข้อห้ามในการเริ่มยาต้านเอชไอวี สามารถเข้าถึงกระบวนการรักษา และกินยาต้านเอชไอวีโดยเร็วที่สุด นับจากที่ทราบว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี
Same-Day ART มีประโยชน์หลายประการ ดังนี้
- ลดโอกาสในการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่น
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
- ช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพที่แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
Same-Day ART สามารถทำได้โดยผู้ติดเชื้อเอชไอวี เข้ารับการตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีที่โรงพยาบาล หรือคลินิกที่ให้บริการ Same-Day ART หากผลการตรวจเป็นบวก แพทย์จะทำการปรึกษา และวางแผนการรักษากับผู้ป่วย จากนั้นผู้ป่วยจะได้รับยาต้านเอชไอวีกลับบ้านไปรับประทานทันที วิธีนี้เป็นแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และไม่แพร่เชื้อต่อผู้อื่น
ยาต้านไวรัส HIV ราคา เท่าไร
ชนิดของยาต้านไวรัส | ราคา |
---|---|
Lamivudine | 210-540 บาท |
Efavirenz | 210-840 บาท |
Tenofovir 300/Emtricitabine | 390-2,100 บาท |
Abacavir | 840-1,500 บาท |
Darunavir | 4,500-7,800 บาท |
PrEP (30 เม็ด) | 1,000-3,200 บาท |
PEP (30 เม็ด) | 2,500-18,200 บาท |
**ราคาจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสถานบริการ และชนิดของยา
ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานยาต้าน HIV
- รับประทานยาตามที่กำหนด ตรงเวลา และทุกวัน
- อย่าเปลี่ยนยาด้วยตนเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์
- หากจะใช้ยาอื่นนอกเหนือที่แพทย์สั่ง ควรปรึกษาแพทย์ และเภสัชกรก่อนทุกครั้ง
- ควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ หากหยุดยาระยะหนึ่งแล้วมารับประทานต่อ ก็อาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา การรักษาจะยิ่งยากมากขึ้น
- ถ้าพบว่าปฏิบัติตามแผนการรักษาได้ยาก ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อค้นหาแนวทางการรักษาใหม่ที่เหมาะสม
ผลข้างเคียงจากการทาน ยาต้านไวรัสเอชไอวี
แน่นอนว่าการทานยาต้านเอชไอวีในระยะยาว ย่อมมีผลข้างเคียงที่ควรต้องพึงระวัง ดังนั้น เมื่อเราพบว่ามีอาการที่ไม่พึงประสงค์ หรือมีสัญญาณของอาการแพ้ยา ควรพบแพทย์ เพื่อรับการเปลี่ยนยา และรับการรักษาที่ดีขึ้น โดยบางอาการอาจจะหายไปเองได้ใน 1-2 สัปดาห์ โดยผลข้างเคียงจากการทานยาต้านเอชไอวีสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลักๆ คือ
- ผลข้างเคียงระยะสั้น มักพบในช่วง 2-3 เดือนแรกของการเริ่มใช้ยา โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด นอนไม่หลับ ฝันร้าย มีผื่นขึ้นเล็กน้อย อาการเหล่านี้ มักหายไปเองเมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับยาได้สักระยะหนึ่ง
- ผลข้างเคียงระยะยาว มักพบหลังจากใช้ยาเป็นเวลานาน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย การกระจาย และสะสมของไขมันผิดปกติ และผิดที่ มีไขมันพอกที่ต้นคอ ลำตัวอ้วน แขนขาลีบ แก้มตอบ โรคกระดูกพรุน ภาวะไตวาย ภาวะตับอักเสบ เป็นต้น
ผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการทานยาต้านเอชไอวี ได้แก่
- ปฏิกิริยาแพ้ยา มักพบได้น้อย อาการที่พบได้ เช่น ผื่นแดง คัน บวม หายใจลำบาก
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ มักพบได้น้อย อาการที่พบได้ เช่น ใจสั่น ใจเต้นเร็ว
- ภาวะตับอักเสบ มักพบได้น้อย อาการที่พบได้ เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เหลืองตาเหลือง
- ภาวะไตวาย มักพบได้น้อย อาการที่พบได้ เช่น ปัสสาวะน้อยลง บวมตามร่างกาย
หากพบอาการข้างเคียงจากการทานยาต้านเอชไอวี ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการจัดการอาการ
ประโยชน์ของ ยาต้านไวรัสเอชไอวี
ยาต้านไวรัสเอชไอวี (Antiretroviral Therapy: ART) หรือยา arv คือ ยาที่ใช้ในการรักษา HIV ที่มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณเชื้อในเลือด (Viral Load) ของผู้ติดเชื้อ ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยประโยชน์ของยาต้านไวรัสเอชไอวี ได้แก่
- ลดปริมาณไวรัสในเลือด ยาต้านไวรัสเอชไอวีออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสเอชไอวี ทำให้ปริมาณไวรัสในเลือดลดลง เมื่อปริมาณไวรัสลดลง โอกาสในการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่นก็จะลดลง
- เพิ่มคุณภาพชีวิต ผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอ จะมีสุขภาพที่แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถทำงาน เรียนหนังสือ และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคฉวยโอกาส ผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างเคร่งครัด จะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง จึงลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ที่มักพบในผู้ติดเชื้อเอชไอวี
- ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต ผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวี จะมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตลดลง
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด ผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอ จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดลดลง
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานลดลง
ยาต้านไวรัสสำหรับ “ป้องกันเชื้อเอชไอวี” มีอะไรบ้าง
ยาต้านไวรัส สำหรับ ป้องกันเชื้อเอชไอวี จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
PrEP ป้องกัน “ก่อน” สัมผัสเชื้อ
เพร็พ (PrEP) ย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ใช้ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ กล่าวคือ ก่อนจะติดเชื้อนั่นเอง โดยการรับประทานยาวันละหนึ่งเม็ดเวลาเดิมเป็นประจำทุกวัน เพร็พ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส HIV จากเพศสัมพันธ์ได้สูงมากกว่าถึง 95% เมื่อทานยาอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อในผู้ใช้เข็มฉีดยาเสพติดได้มากกว่า 70% เลยทีเดียว
ยาเพร็พ สามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ผู้ที่ใช้ยาเสพติดทางหลอดเลือดดำ และผู้ที่ทำงานในสถานบริการทางเพศ (Sex Worker) วิธีนี้ถือการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ และควรใช้ร่วมกับถุงยางอนามัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ผู้ที่สนใจใช้เพร็พควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำในการเริ่มใช้ยา และติดตามผล ค้นหาผู้ให้บริการเพร็พ ที่นี่
PEP ป้องกัน “หลัง” สัมผัสเชื้อ
เป็ป (PEP) ย่อมาจาก Post-Exposure Prophylaxis เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ใช้ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัสโรค กล่าวคือ หลังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อนั่นเอง โดยการรับประทานยาภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ เป็ป มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส HIV จากเพศสัมพันธ์ได้สูงถึง 70% เมื่อทานยาอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อในผู้ใช้เข็มฉีดยาเสพติดได้ด้วยเช่นกัน เป็ปจะให้ผลดีที่สุดเมื่อผู้ที่มีความเสี่ยงรับประทานยาอย่างเคร่งครัด ตรงต่อเวลาทุกวันต่อเนื่อง 28 วัน และกลับไปตรวจเอชไอวีตามนัดอีกครั้ง
เป็ปสามารถใช้ในกรณีที่บุคคลนั้นไม่ได้สวมถุงยางอนามัย หรือ ถุงยางแตก หลุดรั่ว ขณะมีเพศสัมพันธ์ บุคคลที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ขาดสติ มึนเมา และไม่สามารถจำได้ว่าตัวเองได้ป้องกัน หรือไม่ แพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สถานพยาบาลถูกเข็มทิ่มตำ, มีดผ่าตัดบาดมือ, สัมผัสเลือดของผู้ที่มีเชื้อ หรือใช้ในกลุ่มคนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง เป็นต้น ผู้ที่ต้องการใช้เป็ป ควรรีบปรึกษาแพทย์ภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อรับคำแนะนำในการเริ่มใช้ยา และติดตามผล ค้นหาผู้ให้บริการเป็ป ที่นี่
PrEP กับ PEP แตกต่างกันอย่างไร
PrEP กับ PEP เป็นยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ใช้ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี แต่มีความแตกต่างที่สำคัญดังนี้
PREP | PEP | |
---|---|---|
ชื่อเรียกสั้นๆ | ป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ | ป้องกันหลังสัมผัสเชื้อ |
ระยะเวลาการใช้ยา | ทุกวัน | 28 วัน |
ประสิทธิภาพ | มากกว่า 95% | มากกว่า 70% |
ขนาดยา | วันละครั้ง | วันละครั้ง หรือสองครั้ง “ขึ้นอยู่กับยา” |
ข้อบ่งใช้ | ใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงบ่อย | ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น |
ผลข้างเคียง | คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ท้องเสีย | คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ท้องเสีย |
การติดตามผล | ตรวจเอชไอวีทุกๆ 3-6 เดือน | ตรวจเอชไอวีหลังกินยาครบ |
อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาต้านเอชไอวี
ในการต่อสู้กับ โรคเอดส์ ยาต้านไวรัสเอชไอวีได้กลายเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่ช่วยยืดอายุ และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้ออย่างเห็นได้ชัด ด้วยการวิจัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีความหวังสำหรับโลกที่ปราศจากโรคเอดส์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนจะได้รับการตรวจหาเชื้อ เข้ารับการรักษา และปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และมีส่วนร่วมในการยุติการระบาดของโรคเอดส์
บทความนี้ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจหาเชื้อเอชไอวี และการเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพที่ดี และมีอายุขัยที่ยืนยาว นอกจากนี้ ยังให้ความหวังว่าในอนาคตจะมีหนทางในการรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดอย่างแท้จริงครับ