เอดส์ หรือ AIDS ย่อมาจากคำว่า Acquired Immunodeficiency Syndrome เป็นภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ที่เกิดจากการติด โรค HIV (Human Immunodeficiency Virus) ที่มุ่งทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว (CD4) ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีความสำคัญต่อการป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อต่างๆ เอด ถือเป็นอาการระยะสุดท้ายในผู้ติด โรค hiv ที่ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรักษาด้วย ยาต้านไวรัสเอชไอวี สุขภาพร่างกายอ่อนแอลงจนเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ง่าย จนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ในที่สุด ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวิธีการ รักษาเอดส์ ให้หายขาดได้ มีเพียงวิธีการที่ช่วยชะลอ และลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต เพราะฉะนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันที เพื่อไม่ให้เข้าสู่ ระยะเอดส์ ได้
สาเหตุของ เอดส์
เชื้อ HIV ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์นั้น สามารถแพร่กระจายได้ผ่านทางเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวในช่องคลอด และน้ำนมแม่ แต่ไม่ติดผ่านการกอด จูบ การรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่ม การใช้ห้องน้ำสาธารณะ การใช้สถานที่ร่วมกัน เช่น ฟิตเนส ซาวน่า สระว่ายน้ำ ลานกีฬา เป็นต้น โดยสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้คนติดเชื้อ ได้แก่
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย หรืออุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ กับคนที่มีเชื้อเอชไอวี หรือไม่แน่ใจว่ามีเชื้ออยู่ หรือไม่ ทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) รวมถึง HIV การมีเพศสัมพันธ์แบบนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
การใช้เข็มฉีดยา กระบอกฉีดยา หรืออุปกรณ์การเสพยาเสพติดร่วมกันกับผู้อื่น มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อผ่านทางเลือดได้ เมื่อเข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนถูกใช้ซ้ำ เชื้อ HIV ก็สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนที่ฉีดยาเข้าเส้นเลือด ในกรณีพบได้มากในกลุ่มคนที่ใช้สารเสพติดเป็นประจำ
การรับเลือดบริจาค
แน่นอนว่าในสมัยก่อนการถ่ายเลือด สามารถทำให้ติดเชื้อเอชไอวีได้ แต่ในปัจจุบันนี้ แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย เนื่องจากโรงพยาบาลมีขั้นตอนการคัดกรองเลือดอย่างเข้มงวด เลือดทุกถุงที่ใช้ในการถ่ายเลือด จะถูกตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนเสมอ โดยใช้วิธีการตรวจที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อได้แม้ในปริมาณที่น้อยมากก็ตาม นอกจากนี้ เลือดทุกถุงยังได้รับการคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อจากการถ่ายเลือดได้อย่างปลอดภัย
การปลูกถ่ายอวัยวะ
เช่นเดียวกับการถ่ายเลือด ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เนื่องจากมีการตรวจคัดกรอง ผู้บริจาคอวัยวะอย่างเข้มงวด ก่อนการบริจาค มีการซักประวัติความเสี่ยง และระมัดระวังปัจจัยปนเปื้อนเข้าสู่อวัยวะ ในระหว่างการเก็บรักษา หรือขนส่ง ความเสี่ยงนี้อาจเพิ่มขึ้น หากคุณได้รับอวัยวะจากผู้บริจาคที่ไม่ได้รับการคัดกรองอย่างเหมาะสม
การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก
เชื้อ HIV สามารถถ่ายทอดจากแม่ที่มีเชื้อสู่ลูกได้ ในระหว่างการตั้งครรภ์ผ่านทางรก ระหว่างการคลอดผ่านทางเลือด หรือของเหลวในร่างกาย และระหว่างการให้นมแม่ ผ่านทางน้ำนม ความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อ HIV จากแม่สู่ลูกนั้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระดับปริมาณเชื้อ HIV ในเลือดของมารดา สุขภาพของมารดา และระยะเวลาการให้นมแม่ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนี้สามารถลดลงอย่างมากได้ด้วยการใช้ยาต้านไวรัส (ART) อย่างเหมาะสม และอยู่ในความดูแลของแพทย์
การถูกของมีคมบาดมือ หรือเข็มทิ่มตำ
อุบัติเหตุกับเข็ม หรือวัตถุมีคมอื่นๆ เชื้อ HIV สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับเลือด หรือของเหลวในร่างกายที่ปนเปื้อนโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในกรณีบุคลากรทางการแพทย์ ถูกเข็มทิ่มตำโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือเมื่อมีคนได้รับบาดเจ็บจากวัตถุมีคมที่ปนเปื้อนด้วยเลือดที่ติดเชื้อเอชไอวี หรือแพทย์ที่ทำงานกับเลือด หรือของเหลวในร่างกายของผู้ที่มีเชื้อ HIV อาจสัมผัสกับเลือดที่ปนเปื้อนโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม การถูกล่วงละเมิดทางเพศไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ล้วนเป็นประสบการณ์ที่รุนแรง และน่ากลัว ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางร่างกาย และจิตใจอย่างลึกซึ้ง
การถูกล่วงละเมิดทางเพศ
การถูกล่วงละเมิด ข่มขืน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อทางเพศมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV นี่เป็นเพราะการข่มขืนทางเพศ และมีการสัมผัสกับเลือด หรือของเหลวในร่างกายที่ปนเปื้อนของผู้มีเชื้อ ในระหว่างการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับบาดแผลเปิด หรือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ความยากจน และการเลือกปฏิบัติ
กลุ่มคนที่ความยากจน หรือประสบกับการถูกเลือกปฏิบัติ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการติดเชื้อ HIV นี่เป็นเพราะพวกเขาอาจเข้าถึงการดูแลสุขภาพ และการศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันได้น้อยกว่าคนอื่นๆ การไม่กล้าไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจคัดกรอง การไม่มีปัจจัยเหลือพอให้ซื้อถุงยางอนามัยป้องกัน หรือการถูกเหยียดทำให้เข็ด และไม่กล้าที่จะปรึกษาแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ
ประเด็นสำคัญ! “เอชไอวีไม่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสทางผิวหนัง ผ่านลมหายใจ หรือผ่านอากาศเหมือนไข้หวัด หรือโควิด 19 จึงไม่ควรเลือกปฏิบัติกับผู้ติดเชื้อด้วยความรังเกียจ จนทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้ารับการรักษาจนอาจนำไปสู่ระยะเอดส์ได้ในที่สุด”
อาการเริ่มต้นของเอดส์เป็นอย่างไร?
คนที่ติดเชื้อเอชไอวี ไม่จำเป็นต้องมีอาการแสดงออกให้เห็น และไม่ใช่ทุกคนที่จะป่วยเป็นเอดส์ เพราะถ้าหากได้รับ การตรวจเอชไอวี และพบเชื้อตั้งแต่เนิ่นๆ การเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสจะทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพดีเหมือนคนปกติ ไม่เกิดโรคแทรกซ้อนที่ส่งผลร้ายต่อร่างกาย แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลาย จนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ ส่งผลให้เกิด โรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรือโรคแทรกซ้อน กลายเป็น ระยะเอดส์ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากติดเชื้อเอชไอวีมาแล้วประมาณ 10 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะเอดส์อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่านี้หากผู้ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่น ผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง หรือผู้ที่รับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวีไม่สม่ำเสมอ
อาการของโรคเอดส์ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ ได้แก่:
- มีไข้เรื้อรัง หรือไข้สูงติดต่อกันหลายวัน
- น้ำหนักลดลง โดยไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลีย ท้องเสียเรื้อรัง
- มีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- เจ็บคอ มีอาการไอเรื้อรัง
- มีฝ้าขาวในปาก หรือลำคอ
- การติดเชื้อราแคนดิดา ในหลอดอาหาร ในช่องคลอด ในสมอง
- ปอดบวม วัณโรค
- ตรวจพบโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งเยื่อหุ้มสมอง มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ
การวินิจฉัยระยะเอดส์ มักทำโดยการตรวจหาปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ในเลือด โดยปกติแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะมีปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 มากกว่า 500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเอดส์จะมีปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 น้อยกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร
การรักษาระยะเอดส์ในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ การรักษาอาจรวมถึงการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา และยาต้านมะเร็ง การรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์สามารถมีชีวิตยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
เอชไอวี HIV และ เอดส์ AIDS ต่างกันอย่างไร?
HIV เป็นไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกันในมนุษย์ ทำลายเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งมีหน้าที่สำคัญ เมื่อ CD4 ลดลง ร่างกายก็จะอ่อนแอลง และมีโอกาสติดเชื้ออื่นได้ง่ายขึ้น ส่วน AIDS เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลาย จนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ ส่งผลให้เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งเป็นโรคที่อาจไม่รุนแรงในคนปกติ แต่อาจรุนแรง และอันตรายถึงชีวิตในผู้ป่วยเอดส์
ความแตกต่างระหว่าง HIV กับ AIDS มีดังนี้
เอชไอวี HIV | เอดส์ AIDS |
---|---|
เป็นเชื้อไวรัส | เป็นอาการของโรค |
ไม่แสดงอาการเมื่อติดเชื้อ | มีอาการรุนแรงจากโรคแทรกซ้อน |
รักษา และควบคุมได้ด้วยยาต้านไวรัส | รักษาโรคแทรกซ้อนตามอาการ |
ยังมีสุขภาพที่ดี และสามารถมีครอบครัวได้ | มีอาการป่วยในอวัยวะสำคัญอย่างรุนแรง |
วิธีการป้องกันโรคเอดส์
โรคเอดส์แม้ว่าจะเป็นโรคที่รุนแรง และอันตรายถึงชีวิต แต่คุณสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ได้เพียงแค่หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงด้วยวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้
การใช้ถุงยางอนามัย
การใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ และถูกต้อง ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง สามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้ใช้ได้กับทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด และทวารหนัก การเลือกถุงยางอนามัย ควรเลือกถุงยางอนามัยที่มีขนาดพอดีกับอวัยวะเพศชาย โดยวัดขนาดเส้นรอบวงของอวัยวะเพศชายขณะแข็งตัว จากนั้น เลือกถุงยางอนามัยที่มีขนาดเส้นรอบวงใกล้เคียงกัน
การใส่ถุงยางอนามัย
- ควรใส่ถุงยางอนามัย เมื่ออวัยวะเพศชายแข็งตัวเต็มที่แล้ว
- ฉีกซองถุงยางอนามัยอย่างระมัดระวัง
- บีบปลายถุงยางอนามัย ให้แบนเพื่อไล่อากาศออก
- สวมถุงยางอนามัยลงบนอวัยวะเพศชาย โดยให้ส่วนปลายครอบอยู่เหนือบริเวณปลายอวัยวะเพศ
- รูดถุงยางอนามัยลงจนสุด
การถอดถุงยางอนามัย
- เมื่อเสร็จกิจเพศแล้ว ให้ดึงถุงยางอนามัยออก ขณะที่อวัยวะเพศชายยังแข็งตัวอยู่
- จับถุงยางอนามัยไว้ที่ส่วนฐานขณะดึงออก เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำอสุจิไหลออกมา
- ทิ้งถุงยางอนามัยลงในถังขยะ
ข้อควรระวังในการใช้ถุงยางอนามัย
- ห้ามใช้ถุงยางอนามัยที่ฉีกขาด หรือมีรอยชำรุด
- ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น น้ำมันพืช น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันทาผิว เพราะจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพได้
- ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในที่แห้ง และเย็น หลีกเลี่ยงการเก็บไว้ในที่ร้อน หรือโดนแสงแดด
- ฝึกฝนเรื่องเพศอย่างปลอดภัย: จำกัดจำนวนคู่นอน และระวังสถานะเอชไอวีของคู่ของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องสื่อสารอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสถานะเอชไอวี และประวัติทางเพศกับคู่ของคุณ
- รับการตรวจคัดกรอง: การทราบสถานะเอชไอวีของคุณเป็นสิ่งสำคัญ การตรวจหาเชื้อเอชไอวีเป็นประจำ และการสนับสนุนให้คู่นอนของคุณ ทำเช่นเดียวกันสามารถช่วยป้องกันการแพร่เชื้อได้ การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยให้สามารถเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ได้ทันท่วงที และสามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสได้
- การป้องกันโรคก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP): เพร็พ เป็นยาที่บุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสามารถรับประทานได้ เช่น ผู้ที่มีคู่นอนที่ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับคู่รักหลายคน เมื่อรับประทานตามที่กำหนด PrEP สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมาก
- การป้องกันโรคหลังการสัมผัสเชื้อ (PEP): PEP เป็นการใช้ยาต้านรีโทรไวรัสในระยะสั้นหลังจากได้รับเชื้อเอชไอวี จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเริ่มต้นภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากได้รับเชื้อ เช่น ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือใช้เข็มร่วมกัน หากคุณเชื่อว่าตนเองติดเชื้อ HIV ให้ไปพบแพทย์ทันที
- ใช้เข็มฉีดยาที่สะอาด: หากคุณใช้เข็ม หรือหลอดฉีดยาในการฉีดยา หรือยา ให้ใช้อุปกรณ์ที่สะอาด และปลอดเชื้อเสมอ มีโครงการแลกเปลี่ยนเข็ม และจุดฉีดยาที่ได้รับการดูแลในบางพื้นที่เพื่อทำความสะอาดเข็ม และส่งเสริมแนวทางปฏิบัติในการฉีดอย่างปลอดภัย
- การศึกษา และความตระหนัก: ส่งเสริมความตระหนัก และให้ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวี และโรคเอดส์ การทำความเข้าใจความเสี่ยง และวิธีการป้องกันตนเอง และผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการแพร่เชื้อ
- ลดการตีตรา และการเลือกปฏิบัติ: การลดการตีตราเกี่ยวกับเอชไอวี และเอดส์ สามารถกระตุ้นให้บุคคลเข้ารับการตรวจ และการดูแล เพื่อลดการแพร่กระจายของไวรัส ความเคารพ ความเห็นอกเห็นใจ และการสนับสนุนผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี และเอดส์ถือเป็นสิ่งสำคัญ
- การสนับสนุน และการให้คำปรึกษา: บุคคลที่มีความเสี่ยงต่อเอชไอวี หรือใช้ชีวิตร่วมกับเอชไอวี อาจได้รับประโยชน์จากกลุ่มสนับสนุน และบริการให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้พวกเขารับมือกับแง่มุมทางอารมณ์ และจิตใจของไวรัสได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น
อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เอดส์
สิ่งสำคัญคือ ต้องจำไว้ว่าอาการเอดส์เหล่านี้ เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวีมาอย่างยาวนาน และไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อ จะเป็นโรคเอดส์ ด้วยการวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น และการดูแลทางการแพทย์ที่เหมาะสม ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี สามารถจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส (ART)
ซึ่งสามารถชะลอความก้าวหน้าของอาการเจ็บป่วย และช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีความแข็งแรง การติดตามทางการแพทย์เป็นประจำ และการยึดตามการรักษาที่กำหนดเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดการกับเชื้อเอชไอวี และป้องกันความก้าวหน้าของโรคเอดส์ นอกจากนี้ การคงอยู่ในการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการป้องกันการแพร่เชื้อ จะเป็นการลดโอกาสแพร่กระจายของไวรัสได้ และยุติปัญหาเอดส์ในอนาคตได้สำเร็จ