แผลริมอ่อน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อันตรายแค่ไหน และรักษาอย่างไร

แผลริมอ่อน

แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งเพศชาย และเพศหญิง โรคนี้มักพบบ่อยรองจากโรคหนองในแท้ และหนองในเทียม โรคแผลริมอ่อน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่ส่งผลให้ร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อเกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศ อ วัย ว เพศ ชาย เป็น แผล มักมีลักษณะเป็นแผลเปื่อย และสามารถพบได้บริเวณรอบๆ หรือบนอวัยวะเพศ บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโตผิดปกติร่วมด้วย

หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ สาเหตุของโรคแผลริมอ่อน การรักษาที่มีอยู่ และวิธีการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพทางเพศ และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ในคู่มือฉบับสมบูรณ์นี้ เราจะเจาะลึกทุกแง่มุมของ โรคแผลริมอ่อน

สารบัญ

1. อาการของแผลริมอ่อนเป็นอย่างไร​

2. แผลริมอ่อนในเพศชาย และเพศหญิง

3. สาเหตุของโรค แผลริมอ่อน

4. ช่องทางการแพร่เชื้อ

5. การวินิจฉัย และการตรวจ แผลริมอ่อน

6. วิธีการรักษาโรคแผลริมอ่อน

7. ภาวะแทรกซ้อนของแผลริมอ่อน

8. การป้องกันโรคแผลริมอ่อน

อาการของแผลริมอ่อนเป็นอย่างไร​

อาการของแผลริมอ่อน มักเกิดขึ้นภายใน 3-10 วันหลังจากสัมผัสกับเชื้อโรค อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ แผลเปิดที่ผิวหนัง มักพบบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก แผลอาจมีอาการปวด บวม และอาจมีหนองไหล นอกจากแผลเปิดแล้ว อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ ได้แก่

  • ตกขาวผิดปกติ
  • ปัสสาวะแสบขัด
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวม

หากมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่เหมาะสม

ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดของอาการของแผลริมอ่อนในแต่ละบริเวณ:

แผลอวัยวะเพศที่เจ็บปวด

แผลอวัยวะเพศที่เจ็บปวด เป็นอาการที่โดดเด่นของโรคแผลริมอ่อน แผลเหล่านี้มักปรากฏขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรีย แผลเหล่านี้อาจมีตั้งแต่ขนาดเล็ก และเจ็บปวดไปจนถึงขนาดใหญ่ และเจ็บปวด มักมีขอบไม่สม่ำเสมอ และฐานมีสีเทา หรือเทาอมเหลือง

ต่อมน้ำเหลืองบวมโต

ต่อมน้ำเหลืองที่บวมเป็นอาการหนึ่งของโรคแผลริมอ่อน ต่อมน้ำเหลืองที่บวมเหล่านี้เรียกว่า “ฝีมะม่วง” ซึ่งอาจเจ็บปวด และอ่อนโยนเมื่อสัมผัส การมีฝีมะม่วงเป็นลักษณะเฉพาะที่ช่วยให้แยกแยะโรคแผลริมอ่อน จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน

รู้สึกเจ็บปวด และไม่สบายตัว

ความเจ็บปวด และความรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอาการของโรคแผลริมอ่อน นอกเหนือจากความเจ็บปวดทางกายที่เกิดจากแผล และต่อมน้ำเหลืองบวม แผลริมอ่อนอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัวทั่วไป ความรู้สึกไม่สบายตัว และปวดบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนๆ หนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ

ภาวะแทรกซ้อนของ แผลริมอ่อน ที่อาจเกิดขึ้น

หากไม่ได้รับการรักษา แผลริมอ่อนอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การเกิดฝีที่อวัยวะเพศ ฝีเหล่านี้อาจต้องระบายออกและอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้ นอกจากนี้ แผลริมอ่อนยังเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อและแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น HIV ซิฟิลิส หนองในแท้ เป็นต้น

แผลริมอ่อนในเพศชาย และเพศหญิง

แผลริมอ่อนเป็นการติดเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งหมายความว่าสามารถแพร่เชื้อได้ผ่านการสัมผัสกับแผลเปิดของผู้ป่วย การป้องกันการติดเชื้อทำได้โดยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาการของโรคแผลริมอ่อนในเพศชาย และเพศหญิงมีอาการแตกต่างกันเล็กน้อย ได้แก่

แผลริมอ่อนในเพศชาย แผลริมอ่อนในเพศหญิง
มีตุ่มแดงเล็กๆ เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ใต้หนังหุ้มปลายองคชาต หรือถุงอัณฑะ มีตุ่มแดงเล็กๆ เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ แคมเล็ก ต้นขา ขาหนีบ ปากช่องคลอด และมีจํานวนมากกว่าเพศชาย
แผลอาจลุกลามเป็นแผลเปื่อยได้ภายใน 1-2 วัน
มีอาการเจ็บหรือแสบร้อนบริเวณที่เกิดแผล
อาจไม่แสดงอาการของโรคริมอ่อนอย่างชัดเจน
มีอาการเจ็บปวดน้อยกว่าเพศชาย

สาเหตุของโรค แผลริมอ่อน

โรคแผลริมอ่อนเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แกรมลบ ที่มีชื่อว่า ฮีโมฟิลุส ดูเครย์ (Haemophilus Ducreyi) โดยที่เชื้อแบคทีเรียนี้สามารถติดต่อกันได้ง่าย และสามารถแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อ ซึ่งเชื้อแบคทีเรียจะเข้าสู่ร่างกายผ่านรอยแตกของผิวหนัง หรือเยื่อบุผิวขนาดเล็กในบริเวณอวัยวะเพศ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้จากการสัมผัสของเหลวจากผู้ที่มี เชื้อแผลริมอ่อน โดยตรง และเข้าสู่ร่างกายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ผิวหนังที่มีบาดแผล หรือเยื่อบุต่างๆ ซึ่งเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ จะสร้างสารพิษที่ทำให้เกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศ และบริเวณโดยรอบ

ช่องทางการแพร่เชื้อ

แผลริมอ่อนสามารถติดต่อได้ทางการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปากกับคู่นอนที่ติดเชื้อเป็นหลัก การใช้วิธีป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัยสามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้แต่ไม่ได้ให้การป้องกันที่สมบูรณ์ เนื่องจากแผลริมอ่อนสามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณที่ถุงยางอนามัยครอบคลุมไม่ถึง มีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแผลริมอ่อน รวมถึงการมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน และมีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่ติดเชื้อ HIV อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคแผลริมอ่อน

การวินิจฉัย และการตรวจ แผลริมอ่อน

ในการวินิจฉัยโรคแผลริมอ่อนแพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติ การตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจแผลที่คาดว่าเป็นโรคแผลริมอ่อนอย่างละเอียด จากนั้นแพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างของเหลวจากบริเวณแผลของผู้ป่วย เพื่อทำการตรวจวิเคราะห์หาเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค โดยวิธีที่ได้ประสิทธิภาพ และได้รับความนิยม คือการย้อมเชื้อจากน้ำหนองบริเวณแผล และวิธีการตรวจ PCR (Polymerase chain reaction) โดยแบ่งออกเป็น

การประเมิน แผลริมอ่อน ทางคลินิก

แพทย์สามารถวินิจฉัยแผลริมอ่อน โดยการตรวจร่างกาย และประเมินอาการที่มีลักษณะเฉพาะ ได้แก่ แผลที่อวัยวะเพศที่เจ็บปวด และต่อมน้ำเหลืองบวม การมีฝีมะม่วง และการไม่มีสาเหตุที่เป็นไปได้อื่นๆ ของแผลที่อวัยวะเพศเป็นเบาะแสการวินิจฉัยที่สำคัญ

การตรวจในห้องปฏิบัติการ

เพื่อยืนยันการวินิจฉัย และแยกแยะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ แพทย์อาจเก็บตัวอย่างจากแผลเพื่อทำการตรวจในห้องปฏิบัติการ สิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับ Swab หรือการเพาะเลี้ยงตัวอย่างเนื้อเยื่อจากแผล นอกจากนี้ อาจมีการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบหาการปรากฏตัวของแอนติบอดีต่อแบคทีเรียน Haemophilus Ducreyi ด้วย

วิธีการรักษาโรคแผลริมอ่อน

โรคแผลริมอ่อน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แม้จะสร้างความกังวลใจ แต่โรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาหลักๆ คือการใช้ยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง ควบคู่ไปกับการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี ซึ่งรวมถึงการรักษาความสะอาด และการงดเว้นพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

การรักษา แผล ริม อ่อน ด้วยยาปฏิชีวนะ

การรักษาโรคแผลริมอ่อนสามารถรักษาให้ขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะหลายชนิด เช่น Azithromycin Ciprofloxacin Erythromycin Ceftriaxone ยาเหล่านี้มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยบรรเทาอาการบริเวณแผลริมอ่อน และลดรอยแผลเป็นให้ดีขึ้นได้ภายใน 1 อาทิตย์ ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของแผลในผู้ป่วยแต่ละรายด้วยเช่นกัน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการต่อมน้ำเหลืองโตมีขนาดใหญ่มาก แพทย์อาจจะต้องทำการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเจาะระบายน้ำหนองออกเพื่อลดอาการบวมของแผล ซึ่งวิธีนี้จะใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 1-3 เดือน

การจัดการความเจ็บปวดจาก แผลริมอ่อน

เพื่อบรรเทาอาการปวด และไม่สบายที่เกี่ยวข้องกับแผลริมอ่อน และต่อมน้ำเหลืองบวม อาจแนะนำให้ใช้ยาแก้ปวดที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์หรือยาแก้ปวดตามใบสั่งแพทย์

การแจ้งคู่นอน และให้เข้ารับการตรวจ แผลริมอ่อน เช่นกัน

หากคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแผลริมอ่อน ควรแจ้งคู่นอนของตน เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจ และรักษาได้หากจำเป็น การรักษาผู้ติดเชื้อ และคู่นอนทันที ถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อต่อไป

ผู้ป่วยโรคแผลริมอ่อนควรดูแลตนเองควบคู่ไปกับการทานยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาความสะอาด และลดโอกาสการลุกลามของเชื้อแบคทีเรีย ด้วยการงดการมีเพศสัมพันธ์ตลอดระยะเวลาในการรักษา หมั่นใช้น้ำเกลือทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศหรือบริเวณแผลอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรปล่อยให้แผลมีเกิดการอับชื้นหรือเกิดการเสียดสี รวมถึงงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

ภาวะแทรกซ้อนของแผลริมอ่อน

  • เสี่ยงเกิดรอยทะลุของท่อปัสสาวะ หรือ Urethral Fistula (ช่องโหว่ระหว่างทางเดินปัสสาวะ)
  • เกิดแผลเป็นหรือพังผืดบริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย
  • เสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสอื่นๆ ได้ง่าย
  • ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอาจแตกได้หากไม่ได้รักษาโดยเร็วที่สุด

การป้องกันโรคแผลริมอ่อน

สำหรับโรคแผลริมอ่อนสามารถป้องกันได้ โดยการใช้วิธีเดียวกันกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ดังนี้

การปฏิบัติทางเพศที่ปลอดภัย

  • การฝึกมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ และถูกต้อง สามารถลดความเสี่ยงในการติด เชื้อแผลริมอ่อน และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ การจำกัดจำนวนคู่นอน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และการงดพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูงสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้เช่นกัน

การฉีดวัคซีนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับแผลริมอ่อนโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ไวรัสเอชพีวี (HPV) และไวรัสตับอักเสบบี (HBV) สามารถลดความเสี่ยงโดยรวมของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และภาวะแทรกซ้อนได้

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกปี

  • การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ และก่อนแต่งงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีคู่นอนหลายคนหรือมีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถช่วยตรวจพบแผลริมอ่อน และการติดเชื้ออื่นๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ การตรวจพบ และการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ

การศึกษา และการตระหนักรู้ถึงการป้องกันโรค

  • การให้ความรู้แก่ตนเอง และคู่นอนเกี่ยวกับแผลริมอ่อน อาการ และการแพร่เชื้อสามารถช่วยให้บุคคลมีข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศได้ การสื่อสารอย่างเปิดเผยกับคู่นอนเกี่ยวกับสถานะของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณทั้งคู่มีสุขภาพที่ดี

การดูแลสุขอนามัยให้สะอาด

  • การดูแลอวัยวะเพศให้สะอาดเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดโรค และการติดเชื้อต่างๆ สามารถทำได้ด้วย การล้างอวัยวะเพศด้วยน้ำสะอาด และสบู่อ่อนๆ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า และเย็น ล้างจากด้านหน้าไปด้านหลังเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักแพร่กระจายไปยังช่องคลอดหรืออวัยวะเพศชาย เช็ดให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาดหลังล้าง ผู้หญิงควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือน หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด เพราะอาจทำให้แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในช่องคลอดหายไป ที่สำคัญควรสวมเสื้อผ้าที่สะอาด และระบายอากาศได้ดี

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโรค แผลริมอ่อน

การทำความเข้าใจกับแผลริมอ่อน อาการ สาเหตุ ทางเลือกในการรักษา และวิธีการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพทางเพศ และลดผลกระทบต่อบุคคล และชุมชน การวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ และการรักษาโรคนี้อย่างทันท่วงทีมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อ การจัดการแผลริมอ่อน และป้องกันภาวะแทรกซ้อน การฝึกมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย การเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ และรับทราบข้อมูล บุคคลสามารถดำเนินการเชิงรุกเพื่อปกป้องตนเอง และคู่นอนจากเชื้อ แผล ริม อ่อน และการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้อย่างแน่นอนครับ