รองประธานาธิบดี Kamala Harris เชิญ Sasha Colby ไปพูดที่ทำเนียบขาวเพื่อสนับสนุน LGBTQIA+”ความเท่าเทียม การยอมรับ และความรัก” ผู้ชนะ RuPaul’s Drag Race ซีซั่นที่ 15 จาก Drag Superstar ของอเมริการาวกับว่าเธอกำลังเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี Drag คนแรกของอเมริกาแล้ว! เป็นที่รู้จักจากบุคลิกที่สดใสและมั่นใจ ดั่งเป็นไอคอนของชุมชน LGBTQ+
Sasha Colby กล่าวสุนทรพจน์ที่บนทำเนียบขาวในฐานะพิธีกรของงาน
ผู้ชนะการประกวด Miss Continental, ดาราทีวี, Drag Mother ของ Kerri Colby ผู้เข้าประกวด Drag Race และทรานส์ไอคอน! ได้แชร์ความรู้สึกขอบคุณรองประธานาธิบดี Kamala Harris ที่เชิญเธอมาดูแลงานฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจใน Pride Month
“ฉันรู้สึกขอบคุณอย่างเหนือคำบรรยาย และเป็นเกียรติในการกล่าวสุนทรพจน์ในงานเฉลิมฉลองเดือน Pride ที่ทำเนียบขาว ขอขอบคุณรองประธานาธิบดี Kamala Harris และ [GLAAD] จากใจจริงที่มอบเวทีนี้เพื่อเป็นอีกกระบอกเสียงให้กับ LGBTQ+ เรากำลังร่วมกันสร้างเส้นทางสู่ความเท่าเทียม การยอมรับ และความรัก” Sasha Colby โพสต์ลงบน Instagram ของเธอ
ความใส่ใจของ Sasha Colby กับเรื่องสำคัญต่างๆของเขา
เธอใส่ใจกับเรื่องสำคัญของรัฐเสมอ รวมไปถึงแฟชั่นด้วย ขอบคุณผู้เข้าแข่งขันจาก Project Runway – Christian Siriano สำหรับการสร้างชุดสูทสีน้ำเงินที่ “น่าทึ่ง” ของเธอสำหรับโอกาสนี้ เธอยังกล่าวชื่นชมเพื่อนของเธอ (และผู้ที่เคยร่วมงานกับ Janet Jackson บ่อยครั้ง) ซึ่งเป็นศิลปินชื่อดังอย่าง Preston Meneses สำหรับการทำผมและแต่งหน้าของเธอ
สัมภาษณ์พิเศษกับ Entertainment Weekly หลังจากที่คว้าตำแหน่งแชมป์ Drag Race
ในการสัมภาษณ์พิเศษกับ Entertainment Weekly ทันทีหลังจากที่เธอคว้าตำแหน่งแชมป์ Drag Race ในเดือนเมษายน เธอก็ได้อธิบายว่าการที่เธอได้ลิปซิงค์ที่ชนะในฤดูกาลนี้ในตอนจบวันที่ 14 เมษายนนั้นหมายถึง “f— you” สำหรับพวกที่ต่อต้าน Trans ในรัฐบาลที่ผลักดันกฎหมายในช่วงปีที่ผ่านมาที่จะจำกัดสิทธิ LGBTQIA+ ในอเมริกา
“มันเป็นทางเลือกที่ฉันเจาะจงที่จะเปลือยกายในโชว์สุดท้ายในช่วงเวลานั้น ฉันอยากให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขากำลังพยายามกำจัดอะไร” เธอกล่าวกับ EW “ฉันบอกตัวเองว่า Grand Finale นี้ ในการลิปซิ้งค์ ไม่ใช่ฉันพยายามเอาชนะ แต่ฉันกำลังแสดงให้คนเหล่านี้ โชว์สิ่งที่เราทำสิ่งที่ต้องการ ที่มันโดนปิดกั้นและกดให้มันหายไป
เมื่อพูดถึงกฎหมายที่มุ่งเป้าไปที่แดร็กควีน และบุคคลข้ามเพศในอเมริกา เห็นได้ชัดเลยว่าตัวเธอนั้น มีความสนใจเกี่ยวกับการเมืองและเหล่านักการเมืองที่ต้องการจะหยุดคนอย่างเธอ ซึ่งเธอก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยกับสิ่งเหล่านั้น
บุคคลข้ามเพศในอเมริกา
- บุคคลข้ามเพศในอเมริกาเป็นกลุ่มบุคคลที่หลากหลาย ประกอบด้วยผู้คนจากทุกเชื้อชาติ ศาสนา เศรษฐกิจ และภูมิหลังทางสังคม อย่างไรก็ตาม บุคคลข้ามเพศทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือพวกเขารู้สึกว่าอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขาแตกต่างจากเพศโดยกำเนิดของพวกเขา
- บุคคลข้ามเพศอาจเลือกที่จะดำเนินการเพื่อทำให้ร่างกายของพวกเขาสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขา การดำเนินการเหล่านี้อาจรวมถึงการเปลี่ยนชื่อ เพศสำมะโน การบำบัดฮอร์โมน หรือการผ่าตัดแปลงเพศ บุคคลข้ามเพศบางคนอาจเลือกที่จะไม่ดำเนินการใดๆ เลย
- บุคคลข้ามเพศสามารถเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและความรุนแรงในสังคมอเมริกัน การศึกษาในปี 2015 โดย National Center for Transgender Equality พบว่า 40% ของบุคคลข้ามเพศเคยถูกทำร้ายทางร่างกายหรือทางเพศ และ 13% เคยถูกปฏิเสธการจ้างงานหรือที่อยู่อาศัยเนื่องจากอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ยังมีความคืบหน้าในการยอมรับบุคคลข้ามเพศในสังคมอเมริกัน ในปี 2015 รัฐแคลิฟอร์เนียได้ผ่านกฎหมายที่อนุญาตให้บุคคลข้ามเพศเปลี่ยนเพศสำมะโนของตนได้โดยไม่ต้องผ่าตัดแปลงเพศ ในปี 2016 กองทัพสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้บุคคลข้ามเพศรับใช้อย่างเปิดเผย ในปี 2020 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามในคำสั่งบริหารที่ห้ามการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลข้ามเพศในภาครัฐ
ยังมีงานอีกมากที่จะต้องทำเพื่อปกป้องสิทธิของบุคคลข้ามเพศ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าสังคมอเมริกันกำลังเคลื่อนไปสู่โลกที่บุคคลข้ามเพศสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและได้รับการยอมรับ
Sasha Colby พูดถึงผู้ที่จะพยายามต่อต้านบุคคลข้ามเพศและผู้ที่คิดจะจำกัดสิทธิ LGBTQIA+
“ฉันคิดว่าพวกเขาไม่ได้จำเป็นจะต้องมาโกรธอะไรพวกเราด้วยซ้ำ” – โคลบี้กล่าว ผู้เป็นสาวข้ามเพศผิวสีคนแรกของรายการ RuPaul’s Drag Race “ฉันคิดว่าเขาเข้าใจว่าตอนนี้เสียงของพวกเรานั้นมันดังมาก เขารู้ว่าเรามีอำนาจมากพอที่จะทำให้คนออกเสียงทางด้านการเมือง ตอนนี้เขาพยายามทำให้เรากลัว ขู่ให้เรากลับไปอยู่ในที่ๆของเรา เพราะนั่นคือเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาจะทำได้ เขาไม่รู้การที่จะทำอะไรด้วยความรัก เพราะเขาไม่เคยทำมันมาก่อนไงล่ะ ได้แต่สร้างความกลัวให้พวกเรา”
ผู้ที่คิดจะจำกัดสิทธิ LGBTQIA+ มักมีความเชื่อหรือมุมมองที่หลากหลาย บางคนเชื่อว่า LGBTQIA+ เป็นภัยคุกคามต่อค่านิยมทางศาสนาหรือวัฒนธรรม บางคนเชื่อว่า LGBTQIA+ เป็นโรคหรือความผิดปกติทางจิต บางคนเชื่อว่า LGBTQIA+ กำลังทำลายสถาบันครอบครัว
ความเชื่อหรือมุมมองเหล่านี้อาจนำไปสู่ความพยายามที่จะจำกัดสิทธิของ LGBTQIA+ ในรูปแบบต่างๆ เช่น การห้ามการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน การห้ามการเลี้ยงดูบุตรโดยคู่รักเพศเดียวกัน การปฏิเสธการเข้าถึงบริการสาธารณสุข การปฏิเสธการจ้างงานหรือที่อยู่อาศัย การกีดกันการเข้าถึงการศึกษา ฯลฯ
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างบางส่วนของผู้ที่คิดจะจำกัดสิทธิ LGBTQIA+:
- ผู้นำทางการเมืองหรือศาสนาที่สนับสนุนกฎหมายหรือนโยบายที่เลือกปฏิบัติต่อ LGBTQIA+
- กลุ่มรณรงค์ต่อต้าน LGBTQIA+ ที่ทำงานเพื่อเผยแพร่ความเชื่อหรือมุมมองที่ต่อต้าน LGBTQIA+
- บุคคลทั่วไปที่มีความเชื่อหรือมุมมองที่ต่อต้าน LGBTQIA+
- ความพยายามที่จะจำกัดสิทธิของ LGBTQIA+ อาจเป็นอันตรายต่อชุมชน LGBTQIA+ ได้อย่างร้ายแรง การเลือกปฏิบัติและการกีดกันสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต ร่างกาย ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และโอกาสในชีวิตของ LGBTQIA+
สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าสิทธิของ LGBTQIA+ เป็นสิทธิมนุษยชน ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพและเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงรสนิยมทางเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ
การพัฒนาทักษะแดร็กควีนของ Colby เมื่อยังเป็นเด็ก
โคลบี้พัฒนาทักษะแดร็กควีนของเธออย่างลับๆ เมื่อตอนเป็นเด็ก เธอซ้อมเต้นอยู่ที่หลังประตูห้องน้ำ “ฉันก็เรียกตัวเองว่าเป็นพวกฝึกฝนอย่างเต็มที่และบ้าคลั่ง ฉันทำแดร็กมาตลอด แต่ก็ไม่ได้ง่ายหรอกนะ แต่ด้วยฉันเป็นศิลปิน DIY นี่เป็นหนึ่งในศาสตร์ไม่กี่อย่างที่ทำให้ลุคของตัวเองออกมาสมบูรณ์ เพราะเราทำงานคนเดียว ไม่มีทีม และเราไม่ได้อยู่ในเครื่องจักรที่จะสั่งทำอะไรก็ได้เลยทันที” เธอกล่าว “แดร็กนั้นเป็นอะไรที่ส่วนตัวสุดๆ
แดร็กคือรูปแบบของศิลปะแขนงหนึ่ง
- การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์
- การปรับปรุงตัวเอง
- การพัฒนาความสามารถของตร
การรวมตัวของคนรักในศิลปะศาสตร์แด็กบนเวที RuPaul’s Drag Race Season 15 ในแต่ละตอน ไม่ว่าจะรันเวย์ ลิปซิงค์ เรื่องราวที่ถูกสปอตไลท์ ความสนุกสนานทำให้ถูกพูดถึงอย่างมาก และทำให้รายการนั้นมีเรตติ้งเพิ่มขึ้นมากว่าซีซั่นที่แล้วมากขึ้นถึง 17% เลยทีเดียว
วงการคนข้ามเพศและ Drag กำลังเจอเรื่องราวการกีดกัดมากมายในหลายปีที่ที่ผ่านมา แต่การสนับสนุนต่อคอมมูนิตี้นี้ยังคงเติบโตอย่างเห็นได้ชัด การที่มีตัวแทนกลุ่มลุกขึ้นมาต่อสู้ ไม่เพิกเฉยต่อการการกระทำที่ไม่ยุติธรรมเป็นที่เราควรจะช่วยกันสนับสนุน เพื่อเสียงและสิทธิของคนในกลุ่มจะได้รับการแก้ไข