โรคฝีดาษวานร Mpox เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายจากสัตว์สู่คน และคนสู่คน ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง และสามารถหายได้เอง แต่การรักษา และจัดการที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาอาการ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และลดการแพร่กระจายของเชื้อ บทความต่อไปนี้เป็น แนวทางการรักษา ฝีดาษวานร
การวินิจฉัย และประเมินความรุนแรง
การรักษาโรคฝีดาษวานร เริ่มต้นด้วยการวินิจฉัย และประเมินความรุนแรงของโรค แพทย์จะทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยเก็บตัวอย่างจากตุ่มหนอง หรือสะเก็ดแผลเพื่อส่งตรวจหาเชื้อไวรัส นอกจากนี้ยังมีการประเมินอาการทางคลินิก พิจารณาจากลักษณะผื่น ตำแหน่งที่เกิด และอาการทั่วไป รวมถึงการประเมินปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย เช่น อายุ โรคประจำตัว และภาวะภูมิคุ้มกัน
การรักษาตามอาการ

- การให้ยาแก้ปวด และลดไข้: • พาราเซตามอล: ช่วยลดไข้ และบรรเทาอาการปวด • ไอบูโพรเฟน: อาจใช้ในกรณีที่ต้องการผลการลดอักเสบเพิ่มเติม
- การจัดการอาการคัน: • ประคบเย็น: ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่มีผื่นเพื่อบรรเทาอาการคัน และลดการอักเสบ • ยาทาคาลาไมน์: ช่วยลดอาการคัน และให้ความรู้สึกเย็นสบาย • ยาต้านฮิสตามีนชนิดรับประทาน: เช่น เซทิริซีน หรือลอราทาดีน อาจช่วยลดอาการคันได้
- การดูแลแผล: • ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำสะอาด • ใช้ยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ เช่น โพวิโดนไอโอดีน เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การรักษาสมดุลของร่างกาย: • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ • รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
แนวทางการรักษา ฝีดาษวานร การใช้ยาต้านไวรัส
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง หรือมีความเสี่ยงสูง แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาต้านไวรัส เช่น Tecovirimat (TPOXX), Brincidofovir หรือ Cidofovir โดยการใช้ยาเหล่านี้จะพิจารณาเป็นรายกรณี คำนึงถึงความรุนแรงของโรค ปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการรักษาโรคฝีดาษวานร ผู้ป่วยควรแยกตัวในห้องส่วนตัวจนกว่าแผลจะแห้ง และตกสะเก็ดหมด ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรสวมหน้ากากอนามัย และปิดแผลให้มิดชิด นอกจากนี้ ควรแยกเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน และของใช้ส่วนตัวของผู้ป่วย ซักล้างด้วยน้ำร้อน และผงซักฟอกปกติ และทำความสะอาดพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ
แนวทางการรักษา ฝีดาษวานร การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
- ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการเกา หรือแกะตุ่มน้ำเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน และการเกิดแผลเป็น
- ใช้ผ้าสะอาด หรือผ้าก๊อซปิดแผลเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
การติดตาม และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
การติดตาม และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน ก็เป็นส่วนสำคัญของการรักษา ผู้ป่วยควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไข้สูงต่อเนื่อง หายใจลำบาก หรือเจ็บหน้าอก อาการติดเชื้อ แผลมีหนองมากขึ้น บวมแดง หรืออาการทางตา เช่น ตาแดง ปวดตา หรือตามัว ควรรีบพบแพทย์ทันทีหากมีอาการรุนแรงขึ้น อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
การติดตามผลหลังการรักษา

หลังจากหายจากโรคแล้ว ควรมีการติดตามผลการรักษา โดยนัดตรวจติดตามอาการกับแพทย์ ประเมินผลกระทบระยะยาว เช่น แผลเป็น หรือผลกระทบทางจิตใจ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อซ้ำในอนาคต
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
โดยสรุป การรักษาโรคฝีดาษวานรต้องอาศัยการดูแลแบบองค์รวม ทั้งการรักษาตามอาการ การใช้ยาต้านไวรัสในกรณีที่จำเป็น การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ และปฏิบัติตามแนวทางการรักษาอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และปลอดภัย รวมทั้งช่วยป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ และสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย