เมื่อประเทศไทยเดินหน้าสู่การยอมรับ “สมรสเท่าเทียม” อย่างเป็นทางการในปี 2568 หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ของชุมชน LGBTQ+ ทว่าผลกระทบของกฎหมายนี้ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะไม่ได้หมายถึงแค่ “การแต่งงาน” แต่ยังหมายถึง “สิทธิในการสร้างครอบครัว” อย่างแท้จริง หนึ่งในหัวใจของการสร้างครอบครัว คือการมีลูก และการ “อุ้มบุญ” คือทางเลือกสำคัญของคู่รัก LGBTQ+ ที่อยากมีบุตร บทความนี้ จะพาไปสำรวจปรากฏการณ์ อุ้มบุญ LGBT ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มีโอกาสและอุปสรรคใดบ้างในบริบทของประเทศไทย พร้อมทั้งวิเคราะห์มิติด้านกฎหมาย จริยธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกใหม่ของครอบครัวหลากหลายในยุคสมรสเท่าเทียม
อุ้มบุญ คืออะไร และเกี่ยวอะไรกับคู่รัก LGBTQ?
การอุ้มบุญ (Surrogacy) คือกระบวนการที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ยินยอมตั้งครรภ์ให้กับผู้อื่น โดยใช้อสุจิและไข่ของคู่รัก (หรือจากผู้บริจาค) ผ่านเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ เพื่อให้กำเนิดบุตรให้กับคู่รักที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ด้วยตนเอง ในบริบทของคู่รัก LGBTQ+ ซึ่งโดยธรรมชาติไม่สามารถตั้งครรภ์ร่วมกันได้ การอุ้มบุญจึงเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางเลือก ที่จะสามารถมีลูกที่มีสายเลือดร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็น:
- คู่เกย์ที่ใช้ไข่บริจาค + อสุจิของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
- คู่หญิงรักหญิงที่ใช้ไข่ของฝ่ายหนึ่ง + อสุจิบริจาค แล้วให้หญิงตั้งครรภ์แทน
- คู่รักข้ามเพศที่มีอวัยวะสืบพันธุ์เพศเดียวกัน
ในอดีต กฎหมายไทยอนุญาตให้เฉพาะ “คู่สมรสชายหญิงที่มีปัญหามีบุตรยาก” ใช้บริการอุ้มบุญได้เท่านั้น แต่หลังจาก พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ประกาศใช้ในปี 2568 ก็เริ่มมีการผลักดันให้ “คู่รัก LGBT ที่จดทะเบียนสมรส” ได้รับสิทธิในการใช้บริการอุ้มบุญ เช่นเดียวกับคู่ต่างเพศ
การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายอุ้มบุญ: จากข้อจำกัดสู่ความเท่าเทียม
การผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการเข้าถึงบริการอุ้มบุญสำหรับคู่รัก LGBTQ+ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยไม่มีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรง นั่นคือ พ.ร.บ.เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ซึ่งเคยถูกยกย่องว่าเป็นกฎหมายอุ้มบุญที่รัดกุมที่สุดฉบับหนึ่งในภูมิภาค แต่กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อข้อจำกัดหลายประการในกฎหมายเดิมขัดขวางสิทธิของครอบครัวหลากหลายทางเพศอย่างสิ้นเชิง ในปี 2568 ภายหลังการบังคับใช้ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขจึงได้ร่วมกันเสนอ ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอุ้มบุญ โดยมีสาระสำคัญหลายประการที่ถือเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่อาจกำหนดอนาคตของครอบครัว LGBTQ+ ไทยได้อย่างแท้จริง
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ: ร่าง พ.ร.บ. ชุดใหม่
- ปรับคำจำกัดความของ “คู่สมรส”
- หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของกฎหมายเดิม คือคำว่า “คู่สมรส” ถูกนิยามเฉพาะว่าเป็นชายกับหญิงเท่านั้น ทำให้คู่รักเพศเดียวกัน ไม่สามารถเข้าถึงบริการอุ้มบุญได้เลย แม้จะมีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายใหม่แล้วก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. ชุดใหม่เสนอให้ ขยายความหมายของ “คู่สมรส” ให้รวมถึงคู่รัก LGBTQ+ ที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย ซึ่งจะเป็นการรับรองสิทธิทางกฎหมายของพวกเขาในกระบวนการอุ้มบุญอย่างเป็นทางการ
- เปิดสิทธิให้ชาวต่างชาติภายใต้เงื่อนไขที่ชัดเจน
- นอกจากคู่รักเพศเดียวกันแล้ว ร่างกฎหมายยังเสนอให้ชาวต่างชาติสามารถเข้าถึงบริการอุ้มบุญในไทยได้ ภายใต้เงื่อนไขที่เคร่งครัด เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์และการเอารัดเอาเปรียบหญิงไทย เช่น
- หญิงที่ตั้งครรภ์แทนต้องเป็นคนสัญชาติเดียวกับคู่สมรสหนึ่งในสองฝ่าย
- ต้องมีความสัมพันธ์หรือรู้จักกันมาก่อน ไม่ใช่บุคคลที่จ้างจากเอเจนซี่
- ห้ามให้ค่าตอบแทนในลักษณะเชิงพาณิชย์
- แนวทางนี้มุ่งเน้นความปลอดภัยทางจริยธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดทางให้คู่รัก LGBT ต่างชาติสามารถมาทำอุ้มบุญในไทยได้ภายใต้กรอบที่ชัดเจน
- นอกจากคู่รักเพศเดียวกันแล้ว ร่างกฎหมายยังเสนอให้ชาวต่างชาติสามารถเข้าถึงบริการอุ้มบุญในไทยได้ ภายใต้เงื่อนไขที่เคร่งครัด เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์และการเอารัดเอาเปรียบหญิงไทย เช่น
- ปรับเกณฑ์ผู้หญิงที่สามารถตั้งครรภ์แทน
- ในกฎหมายเดิม ผู้ตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจำกัดสิทธิและโอกาสของหลายคู่ที่ไม่มีญาติยินยอม ร่าง พ.ร.บ. ใหม่เสนอให้:
- สามารถใช้ผู้ตั้งครรภ์แทนที่ “รู้จักหรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด” ได้ แม้ไม่ใช่ญาติสายตรง
- กำหนดอายุผู้ตั้งครรภ์แทนระหว่าง 20–35 ปี
- ห้ามมีประวัติการตั้งครรภ์โดยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์เกินจำนวนครั้งที่กำหนด
- ต้องได้รับการประเมินทางร่างกายและจิตใจจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- ในกฎหมายเดิม ผู้ตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจำกัดสิทธิและโอกาสของหลายคู่ที่ไม่มีญาติยินยอม ร่าง พ.ร.บ. ใหม่เสนอให้:
- คุ้มครองสิทธิของเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญ
- อีกหนึ่งประเด็นที่ร่าง พ.ร.บ. ชุดใหม่ให้ความสำคัญ คือ การยืนยันสถานะทางกฎหมายของเด็ก ที่เกิดจากกระบวนการอุ้มบุญ โดยเฉพาะในกรณีของคู่สมรสเพศเดียวกัน ข้อเสนอที่ถูกระบุไว้ในร่าง ได้แก่:
- คู่สมรส LGBT ที่จดทะเบียนตามกฎหมาย จะสามารถระบุชื่อตนเองเป็นบิดา/มารดาในสูติบัตรได้
- เด็กจะได้รับสัญชาติไทยตามสายเลือด หรือตามหลักสิทธิการเกิด
- เด็กมีสิทธิในการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับกำเนิดของตน หากต้องการเมื่อถึงวัยอันควร
- อีกหนึ่งประเด็นที่ร่าง พ.ร.บ. ชุดใหม่ให้ความสำคัญ คือ การยืนยันสถานะทางกฎหมายของเด็ก ที่เกิดจากกระบวนการอุ้มบุญ โดยเฉพาะในกรณีของคู่สมรสเพศเดียวกัน ข้อเสนอที่ถูกระบุไว้ในร่าง ได้แก่:
ความเคลื่อนไหวหลังสมรสเท่าเทียม
ภายหลังที่ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ได้รับการประกาศใช้ กลุ่มนักกฎหมาย นักสิทธิมนุษยชน และนักการแพทย์ ได้ร่วมกันเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.อุ้มบุญ โดยขยายคำว่า “คู่สมรส” ให้ครอบคลุมคู่รัก LGBT ที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแล้ว หากร่างนี้ผ่านการอนุมัติ คู่รัก LGBTQ+ จะสามารถ:
- ยื่นขอใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ได้อย่างถูกกฎหมาย
- ทำข้อตกลงการอุ้มบุญกับหญิงที่สมัครใจตั้งครรภ์แทน
- มีชื่อในสูติบัตรของเด็กตามกฎหมาย
นี่คือก้าวสำคัญที่จะทำให้การ “อุ้มบุญ” ในกลุ่มคู่รักเพศหลากหลาย ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
เหตุผลเบื้องหลังการปฏิรูปกฎหมาย อุ้มบุญ
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศไม่กี่แห่งในเอเชีย ที่มีการบัญญัติกฎหมายควบคุมการอุ้มบุญอย่างชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสิทธิของหญิงที่ตั้งครรภ์แทน และเด็กที่เกิดจากกระบวนการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป กฎหมายดังกล่าวกลับกลายเป็นข้อจำกัดที่ตัดโอกาสของคู่สมรสหลากหลายทางเพศ และชาวต่างชาติที่มีความตั้งใจจริงในการสร้างครอบครัว การปฏิรูปกฎหมายอุ้มบุญ จึงเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ดังนี้:
1. ความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างครอบครัว
ในยุคที่ความหลากหลายทางเพศได้รับการยอมรับมากขึ้น ครอบครัวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ชายหญิงอีกต่อไป แต่รวมถึงคู่รักเพศเดียวกัน และคู่รักข้ามเพศที่ต้องการมีบุตรโดยสายเลือด หรือไม่ต้องการรับบุตรบุญธรรม การจำกัดสิทธิการอุ้มบุญเฉพาะคู่สมรสชายหญิงจึงถือเป็นการเลือกปฏิบัติ และสวนทางกับหลักการสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียม
2. สมรสเท่าเทียมเปลี่ยนสมการของสิทธิ
เมื่อ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ได้รับการบังคับใช้ในปี 2568 ส่งผลให้คู่รัก LGBTQ+ สามารถจดทะเบียนสมรสและได้รับสิทธิในหลายด้าน เช่น ทรัพย์สิน การดูแลกันยามเจ็บป่วย และสิทธิทางมรดก แต่หากยังไม่สามารถเข้าถึงบริการอุ้มบุญได้ สิทธิในการสร้างครอบครัวก็ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้น การแก้กฎหมายอุ้มบุญจึงเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญในการเติมเต็มสิทธิเหล่านั้น
3. ข้อจำกัดของกฎหมายเดิมต่อผู้ประสงค์มีลูก
กฎหมายอุ้มบุญฉบับเดิมกำหนดให้ผู้ตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติของคู่สมรส และห้ามมีการให้ค่าตอบแทน ทำให้การอุ้มบุญในความเป็นจริงเป็นเรื่องซับซ้อนและเข้าถึงได้ยาก แม้แต่คู่ชายหญิงเองก็เผชิญกับข้อจำกัดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคู่ LGBTQ+ หรือชาวต่างชาติ การปฏิรูปกฎหมายจึงมีเป้าหมายเพื่อทำให้กระบวนการนี้เป็นไปได้จริง และยืดหยุ่นกับความเป็นจริงของสังคมยุคใหม่
4. ศักยภาพของประเทศไทยในฐานะ Medical Hub
ประเทศไทยมีคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์จำนวนมาก โดยมีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ที่เทียบเท่ามาตรฐานสากล การเปิดให้คู่รัก LGBTQ+ และชาวต่างชาติเข้าถึงการอุ้มบุญจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) และเพิ่มรายได้เข้าสู่ประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจที่รัฐไม่ควรมองข้าม
ความหวังของกลุ่ม LGBTQIA+
เมื่อประเทศไทยผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม กลุ่ม LGBTQIA+ ไม่เพียงได้รับสิทธิในการจดทะเบียนสมรสเท่านั้น แต่ยังจุดประกายความหวังใหม่ที่เคยดูเลือนลางมานาน หนึ่งในนั้นคือ การมีลูกของตัวเอง ซึ่งเป็นความฝันของใครหลายคนที่อยากสร้างครอบครัวอย่างสมบูรณ์
เมื่อความฝันกลายเป็นสิทธิ
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา คู่รักเพศเดียวกันในไทยต้องใช้ชีวิตภายใต้ระบบที่ไม่รับรองสถานะความเป็นครอบครัวอย่างแท้จริง แม้จะใช้ชีวิตร่วมกัน มีบ้าน มีทรัพย์สินร่วม แต่เมื่อถึงเวลาที่อยากมีลูก ความฝันนั้นมักต้องจบลงเพราะข้อจำกัดทางกฎหมายและสังคม
การที่กฎหมายเริ่มเปิดให้ LGBTQIA+ มีสิทธิเข้าถึงบริการอุ้มบุญ เป็นการส่งสัญญาณว่า ความฝันในการมีลูกไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ “ทำได้จริง” ภายใต้กรอบที่ปลอดภัย ถูกต้อง และเท่าเทียม
ครอบครัวไม่จำกัดเพศ แต่ขึ้นอยู่กับความรักและความรับผิดชอบ
สมาชิกในกลุ่ม LGBTQIA+ หลายคนมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ เศรษฐกิจ หรือความพร้อมในการเลี้ยงดูบุตร การเปิดให้มีสิทธิเข้าถึงกระบวนการอุ้มบุญ จึงเท่ากับการยอมรับว่า การเป็นพ่อแม่ไม่จำกัดอยู่ที่เพศสภาพ แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถและเจตจำนงในการเลี้ยงดู
เสียงจากหลายคู่รักยืนยันว่า ความพร้อมของพวกเขาไม่ต่างจากคู่รักชายหญิง:
“เรามีบ้าน มีงานมั่นคง มีความรักที่มั่นคง แล้วทำไมเราจะไม่มีสิทธิเป็นพ่อแม่?” — เก่ง และโอม คู่เกย์จากเชียงใหม่
“แค่เราสองคนรักเด็ก และอยากเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุด ก็น่าจะพอแล้วสำหรับคำว่า ‘ครอบครัว” — อุ้ม และบีม คู่หญิงรักหญิงจากกรุงเทพฯ
พื้นที่ปลอดภัยทางกฎหมาย
นอกเหนือจากความฝันส่วนบุคคล สิ่งที่กลุ่ม LGBTQIA+ ต้องการมากที่สุดคือ “พื้นที่ทางกฎหมาย” ที่ให้ความมั่นคงในการดำรงชีวิตร่วมกัน เช่น:
- การระบุชื่อในสูติบัตรของลูก
- สิทธิในการตัดสินใจด้านการแพทย์ของบุตร
- สิทธิในการรับรองบุตรตามกฎหมาย
- ความคุ้มครองเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น การเสียชีวิตของคู่สมรส
เมื่อกฎหมายอุ้มบุญขยายสิทธิให้คู่ LGBTQIA+ ได้เท่าเทียมกับคู่ต่างเพศ จะเป็น ก้าวสำคัญของการสร้างครอบครัวที่มั่นคง ไม่คลุมเครือ และได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง
แบบอย่างในต่างประเทศ: ความหวังที่พิสูจน์แล้ว
ประเทศอย่างแคนาดา ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา หรือเนเธอร์แลนด์ ได้เปิดให้คู่รัก LGBTQIA+ สามารถใช้บริการอุ้มบุญได้อย่างเท่าเทียมมานานหลายปีแล้ว และมีกรณีตัวอย่างของครอบครัวที่เติบโตอย่างอบอุ่น มีบุตรที่มีพัฒนาการดี และได้รับการยอมรับจากสังคม การเห็นแบบอย่างเหล่านี้ ทำให้ชุมชน LGBTQIA+ ไทยมีความหวังว่า ประเทศไทยจะก้าวตามทันโลกสมัยใหม่ และไม่ปล่อยให้คนบางกลุ่มถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ความหวังที่ต้องไม่ดับลงกลางทาง
แม้ความเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่กระบวนการทางสังคมยังต้องอาศัยแรงผลักดันจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานการแพทย์ นักสิทธิมนุษยชน และประชาชนทั่วไป เพื่อสร้าง “ระบบที่เอื้อ” ให้ความหวังของกลุ่ม LGBTQIA+ ไม่ใช่แค่สิทธิตามตัวอักษรของกฎหมาย แต่เป็น สิทธิที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน เพราะในท้ายที่สุด การมีลูกไม่ควรเป็นเรื่องของเพศสภาพ แต่ควรเป็นเรื่องของความรัก ความเสียสละ และความปรารถนาดีที่มนุษย์ทุกคนมีสิทธิจะเลือก
ประเด็นทางเศรษฐกิจของ “อุ้มบุญ LGBT” ในบริบทประเทศไทย
ข้อดีทางเศรษฐกิจ |
ความเสี่ยงที่ต้องควบคุม |
---|---|
เพิ่มรายได้ให้แก่คลินิกและโรงพยาบาลเอกชน | หากขาดการควบคุม อาจเปิดช่องให้เกิดการค้ามนุษย์ |
ดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) | การทำธุรกิจอุ้มบุญเกินขอบเขตกฎหมาย อาจละเมิดจริยธรรม |
สร้างอาชีพใหม่ในระบบบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ประสานงาน พยาบาลเฉพาะทาง | ผู้หญิงที่มีฐานะยากจน อาจถูกเอารัดเอาเปรียบในการตั้งครรภ์แทน |
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- IDAHOBIT 2025: พลังแห่งชุมชน ขับเคลื่อนความเท่าเทียมทางเพศ
- 1 มีนาคม วันยุติการเลือกปฏิบัติ หยุดตีตราเพื่อสังคมที่เท่าเทียม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “อุ้มบุญ”
☞ ผู้หญิงที่สามารถอุ้มบุญได้ต้องมีอายุระหว่าง 20–35 ปี เคยมีประวัติการตั้งครรภ์มาแล้ว และต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ ผู้ตั้งครรภ์แทน ควรเป็นญาติหรือคนใกล้ชิดของคู่สมรส และต้องผ่านการประเมินจากแพทย์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
☞ เด็กที่เกิดจากกระบวนการอุ้มบุญสามารถได้รับสัญชาติไทย หากมีพ่อหรือแม่ที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากผู้ตั้งครรภ์แทนหรือผู้บริจาคไข่/อสุจิเป็นชาวต่างชาติ ควรปรึกษาทนายหรือเจ้าหน้าที่รัฐล่วงหน้าเพื่อป้องกันปัญหาด้านสถานะของเด็ก
☞ ค่าใช้จ่ายในกระบวนการอุ้มบุญจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคลินิก เทคนิคที่ใช้ และความซับซ้อนของกรณี โดยอาจเริ่มตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาท และควรมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของผู้ตั้งครรภ์แทน รวมถึงค่าตรวจวินิจฉัยต่าง ๆ
☞ โดยเฉลี่ยกระบวนการทั้งหมดอาจใช้เวลา 9–18 เดือน ตั้งแต่การเตรียมเอกสาร การจับคู่กับผู้ตั้งครรภ์แทน การตรวจสุขภาพ การผสมเทียม ไปจนถึงการคลอดและจดทะเบียนบุตร ขั้นตอนทางกฎหมายอาจใช้เวลาเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับสถานะของคู่สมรส
☞ ได้ ในกรณีที่คู่สมรสไม่สามารถใช้เซลล์สืบพันธุ์ของตนเอง การใช้ไข่หรืออสุจิจากผู้บริจาคเป็นทางเลือกที่ใช้กันแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ผู้บริจาคต้องผ่านการตรวจสุขภาพและโรคติดต่อ รวมถึงมีเอกสารแสดงความยินยอมอย่างชัดเจนตามข้อกำหนดของคลินิกและกฎหมาย
บทสรุป: ทางเลือกใหม่ที่ไม่ควรถูกปิดกั้น
การอุ้มบุญสำหรับคู่รัก LGBT ไม่ใช่แค่ทางเลือกทางการแพทย์ แต่คือ “การรับรองสิทธิในการสร้างครอบครัว” อย่างแท้จริงในยุคสมรสเท่าเทียม เมื่อรัฐไทยได้เปิดประตูให้ทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว สิ่งที่ตามมาคือความหวังอันงดงามของคู่รักหลากหลายทางเพศที่ต้องการมีลูก มีครอบครัว และใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมกับคู่ชายหญิง
“การปฏิรูปกฎหมายอุ้มบุญจึงไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิคของวงการแพทย์ แต่เป็นบทพิสูจน์ว่า ประเทศไทยพร้อมจะยอมรับความรักทุกรูปแบบในระดับนโยบายและกฎหมาย พร้อมจะเชื่อในศักยภาพความเป็นพ่อแม่ของคนทุกเพศ และพร้อมจะให้เด็กคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในครอบครัวที่อบอวลด้วยความรัก แม้จะไม่ใช่ครอบครัวแบบเดิมที่เราคุ้นเคย”
อย่างไรก็ตาม ความเท่าเทียม ไม่เกิดขึ้นได้ด้วยกฎหมายเพียงฉบับเดียว แต่ต้องมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงในระบบที่เกี่ยวข้อง — ทั้งด้านสิทธิเด็ก การแพทย์ จริยธรรม การศึกษา และทัศนคติของสังคม
วันนี้ อุ้มบุญ LGBT อาจยังเป็นเพียง “ความหวังที่กำลังก่อตัว” แต่ถ้าเราทุกคนร่วมกันผลักดันให้เกิดระบบที่ปลอดภัย เป็นธรรม และเปิดกว้างสำหรับครอบครัวทุกรูปแบบ ความหวังนั้นจะไม่ใช่เพียงเรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะเป็น “ชัยชนะของสังคมไทยทั้งสังคม” ที่เดินหน้าไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความเท่าเทียมอย่างแท้จริง
อ้างอิงข้อมูลจาก:
แก้กฎหมายอุ้มบุญ เพิ่มสิทธิ LGBTQ+ เข้าถึงบริการ
แก้ไขกฎหมายอุ้มบุญ รับ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม คนโสดอยากมีลูก ครอบคลุมแค่ไหน
- www.hfocus.org/content/2025/01/32801
สบส.แก้กฎหมายอุ้มบุญ รับสมรสเท่าเทียม เปิดทางคู่สมรสไทย-ต่างชาติ
- www.thaipbs.or.th/news/content/348489