ข่าวใหม่! งานวิจัยพบว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถหยุดยา ART ได้เกือบปี!

ข่าวใหม่! งานวิจัยพบว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถหยุดยา ART ได้เกือบปี!

HIV เป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อเรื้อรังที่ต้องได้รับ การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมระดับไวรัสในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การวิจัยล่าสุดได้เปิดเผยความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษา HIV ในอนาคต ผลการศึกษาใหม่พบว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวี บางรายสามารถหยุดใช้ ART ได้นานถึงเกือบหนึ่งปี หลังจากได้รับการฉีดแอนติบอดี 2 ชนิด ซึ่งอาจเป็นก้าวแรกของการพัฒนาวิธีการรักษาไวรัสเอชไอวีที่ลดการพึ่งพาการใช้ยาต้านเชื้อเป็นประจำ

 

Love2Test

 

 

 

 

การศึกษาที่เปลี่ยนแนวทางการรักษาใน ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

การทดลอง RIO คืออะไร?

RIO (Research in Immunotherapy and Outcomes) เป็นการศึกษาวิจัยที่ดำเนินการใน สหราชอาณาจักรและประเทศเดนมาร์ก เพื่อประเมินว่า การใช้แอนติบอดีสองชนิด สามารถช่วยให้ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถหยุดการใช้ยาต้าน ART ได้เป็นระยะเวลานานหรือไม่

วัตถุประสงค์ของการทดลอง

การทดลองนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทดสอบว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายได้โดยไม่ต้องใช้ยา ART หรือไม่ โดยใช้แอนติบอดี Broadly Neutralizing Antibodies (bNAbs) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่สามารถป้องกันไวรัสเอชไอวีได้อย่างกว้างขวาง

รายละเอียดของการทดลอง

  • จำนวนผู้เข้าร่วม: 68 คน
  • รูปแบบการทดลอง: การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (Randomized Controlled Trial)
  • กลุ่มผู้ป่วย: ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่กำลังรับการรักษาด้วย ART และสามารถกดปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับต่ำได้
  • ประเภทของแอนติบอดีที่ใช้:
    • 3BNC117 – แอนติบอดีที่สามารถจับกับโปรตีน envelope ของไวรัส HIV และป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์
    • 10-1074 – แอนติบอดีที่มุ่งเป้าไปที่ V3 loop ของโปรตีน envelope และช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส

กระบวนการทดลอง

  • ผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
    • กลุ่มแรก: ได้รับแอนติบอดี 3BNC117 และ 10-1074
    • กลุ่มที่สอง: ได้รับยาหลอก (placebo)
  • ผู้เข้าร่วมทั้งหมดถูกขอให้ หยุดใช้ยา ART และถูกติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบระดับไวรัสในร่างกาย
  • ทีมวิจัยตรวจสอบว่า ผู้เข้าร่วมสามารถควบคุมไวรัสในร่างกายได้นานแค่ไหนโดยไม่ต้องกลับมาใช้ ART

ผลการทดลอง RIO

  • ในช่วง 20 สัปดาห์แรก
    • ในกลุ่มที่ได้รับ ยาหลอก (placebo) มีเพียง 3 คนจาก 31 คน (9%) ที่สามารถหยุด ART ได้
    • ในกลุ่มที่ได้รับ แอนติบอดี มี 12 คนจาก 34 คน (35%) ที่สามารถควบคุมปริมาณไวรัสได้โดยไม่ต้องกลับมาใช้ ART
  • ในสัปดาห์ที่ 48 (เกือบ 1 ปี)
    • 57% ของผู้ที่ได้รับแอนติบอดียังคงควบคุมไวรัสได้โดยไม่ต้องใช้ ART
  • ในสัปดาห์ที่ 72 (ประมาณ 1 ปีครึ่ง)
    • 39% ของผู้เข้าร่วมที่ได้รับแอนติบอดียังคงมีปริมาณไวรัสต่ำกว่า 1,000 copies/ml
    • 7 คนไม่มีไวรัสกลับมาเลยตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปีหลังหยุด ART

ความสำคัญของการทดลอง RIO กับ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ความสำคัญของการทดลอง RIO กับ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

  • เป็นหลักฐานแรก ที่ชี้ให้เห็นว่า แอนติบอดีอาจช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถหยุด ART ได้เป็นเวลานาน
  • อาจเป็นก้าวแรกของการพัฒนาแนวทางการรักษา HIV ที่ไม่ต้องพึ่งพายาต้านไวรัสทุกวัน
  • ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่า การบำบัดด้วยแอนติบอดีอาจเป็นแนวทางใหม่ที่สามารถควบคุม HIV ได้ในระยะยาว

ข้อจำกัดของการทดลอง

  • ยังคงเป็นการทดลองในขนาดเล็ก – จำเป็นต้องมีการทดลองในกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น
  • ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันในทุกคน – บางคนสามารถหยุด ART ได้นานถึง 2 ปี แต่บางคนต้องกลับมาใช้ยาเร็วกว่านั้น
  • ความเสี่ยงของการดื้อยา – HIV อาจพัฒนาให้ดื้อต่อแอนติบอดีได้ในบางกรณี
  • ต้นทุนสูง – การผลิตแอนติบอดียังคงมีราคาสูง ทำให้การเข้าถึงของผู้ป่วยทั่วไปยังคงเป็นข้อจำกัด

กลไกการทำงานของแอนติบอดีในการรักษา HIV

“แอนติบอดีที่ใช้ในการศึกษานี้เป็น broadly neutralizing antibodies (bNAbs) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่สามารถกำหนดเป้าหมายและทำลายไวรัส HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำงานในสองรูปแบบ:

  • 3BNC117 – จับกับโปรตีน envelope ของ HIV และป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าไปในเซลล์ T
  • 10-1074 – ป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสภายในร่างกายโดยกำหนดเป้าหมายไปที่ V3 loop ของโปรตีน envelope

การรวมกันของแอนติบอดีทั้งสองชนิดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับไวรัสได้นานขึ้นโดยไม่ต้องใช้ ART”

ศักยภาพของแอนติบอดีในฐานะวิธีการรักษาใน ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ความแตกต่างจาก ART แบบเดิม

การรักษาด้วย ART แบบดั้งเดิมทำงานโดยการยับยั้งการจำลองตัวของไวรัส แต่ไม่ได้ช่วยให้ร่างกายสามารถควบคุมไวรัสเองได้ การใช้ แอนติบอดีที่ออกฤทธิ์ยาวนาน อาจช่วยให้ผู้ป่วยสามารถลดการใช้ยา ART และอาจมีความเป็นไปได้ในการควบคุมไวรัสได้โดยไม่ต้องพึ่งพายาทุกวัน

ศักยภาพของแอนติบอดีในฐานะวิธีการรักษาใน ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ประโยชน์ของแอนติบอดีในการรักษา HIV

การใช้แอนติบอดี (Broadly Neutralizing Antibodies – bNAbs) ในการรักษา HIV กำลังเป็นแนวทางที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากสามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV ควบคุมไวรัสได้โดยไม่ต้องพึ่งพายาต้านไวรัส (ART) ทุกวัน

1. ลดภาระของการใช้ยา ART ทุกวัน

ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ส่วนใหญ่ต้องรับประทานยาต้านไวรัสทุกวันเพื่อควบคุมไวรัส แต่การใช้แอนติบอดีที่ออกฤทธิ์ยาวนานสามารถลดความถี่ของการใช้ยาได้ ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผลการทดลอง RIO พบว่า 57% ของผู้ป่วยสามารถหยุด ART ได้นานถึงเกือบ 1 ปี หลังได้รับแอนติบอดี ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับการพัฒนาแนวทางรักษา HIV ที่ไม่ต้องพึ่งพายาทุกวัน

2. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันควบคุมไวรัสได้ดีขึ้น

แอนติบอดีสามารถช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อไวรัส HIV ได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้ยา ART เป็นประจำ ซึ่งแตกต่างจาก ART ที่เพียงแค่ยับยั้งการจำลองตัวของไวรัส แต่ไม่ได้ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน แอนติบอดีที่ใช้ เช่น 3BNC117 และ 10-1074 สามารถทำลายไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้ร่างกายพัฒนากลไกป้องกันไวรัสเอง

3. ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงจากยา ART

ยาต้านไวรัส (ART) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น

  • คลื่นไส้ เวียนศีรษะ
  • ปัญหาเกี่ยวกับตับและไต
  • ไขมันในเลือดผิดปกติ
  • ความเสี่ยงของโรคหัวใจ

แอนติบอดีที่ฉีดสามารถช่วยลดภาระของการใช้ยา ART ทุกวัน ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องเผชิญกับผลข้างเคียงของยาที่สะสมในระยะยาว

4. เพิ่มความสะดวกในการรักษา HIV

ผู้ป่วย HIV บางรายมีปัญหาในการรับประทานยาทุกวัน เช่น

  • การลืมกินยา ART เป็นประจำ
  • มีปัญหาทางจิตใจเกี่ยวกับการใช้ยา
  • ไม่ต้องการให้คนรอบตัวรู้ว่าติดเชื้อ HIV

การใช้แอนติบอดีที่ออกฤทธิ์ยาวนาน ซึ่งอาจต้องฉีดเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยและลดความเครียดจากการต้องกินยาเป็นประจำ

5. ลดความเสี่ยงของการดื้อยา ART

ปัญหาหลักของการใช้ยา ART เป็นเวลานาน คือ การพัฒนาของไวรัสที่ดื้อต่อยา ซึ่งอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล แอนติบอดีมีศักยภาพในการช่วยลดความเสี่ยงของการดื้อยาได้ เนื่องจากสามารถกำหนดเป้าหมายไปที่โปรตีนของ HIV ได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้ไวรัสมีโอกาสในการพัฒนาความต้านทานน้อยลง

6. อาจเป็นก้าวแรกสู่การรักษา HIV ให้หายขาด

การรักษาด้วย ART ในปัจจุบันยังไม่สามารถกำจัด HIV ออกจากร่างกายได้ แต่การใช้แอนติบอดีอาจช่วยให้ร่างกายสามารถควบคุมไวรัสได้โดยไม่ต้องใช้ยา ซึ่งอาจเป็นแนวทางใหม่ในการพัฒนาการรักษา HIV ให้หายขาดในอนาคต

ความท้าทายและข้อจำกัดของการใช้แอนติบอดี

แม้ว่าการศึกษานี้จะเป็นก้าวที่สำคัญในวงการ HIV แต่ยังมีอุปสรรคที่ต้องพิจารณา:

✦ การตอบสนองของผู้ป่วยที่แตกต่างกัน ▶︎ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถหยุด ART ได้นาน
✦ ต้นทุนของแอนติบอดีที่ยังสูงอยู่ ▶︎ การผลิตแอนติบอดีมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้การเข้าถึงยังคงจำกัด
✦ ความเสี่ยงของการดื้อยา ▶︎ ไวรัส HIV สามารถพัฒนาให้ดื้อต่อแอนติบอดีได้
✦ ต้องมีการฉีดยาเป็นระยะ ▶︎ แม้ว่าจะไม่ต้องใช้ ART ทุกวัน แต่ยังต้องเข้ารับการฉีดยาอย่างต่อเนื่อง

แนวทางในอนาคตสำหรับการรักษา HIV

นักวิจัยกำลังศึกษาวิธีการใหม่ ๆ ในการรักษา HIV รวมถึง:

  • การพัฒนาแอนติบอดีที่ออกฤทธิ์ยาวนานขึ้น เพื่อลดความถี่ในการฉีด
  • การใช้แอนติบอดีร่วมกับการบำบัดด้วยเซลล์ T (CAR-T Cell Therapy)
  • การใช้ยีนบำบัด (Gene Therapy) เพื่อกำจัด HIV จากร่างกาย
  • การพัฒนาวัคซีนรักษา HIV เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันถาวร

แนวทางในอนาคตสำหรับการรักษา HIV ผู้ติดเชื้อเอชไอวี

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ART

☞ ART (Antiretroviral Therapy) คือการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมเชื้อเอชไอวีในร่างกาย ยานี้ช่วยลดปริมาณไวรัส (Viral Load) ในเลือดให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบ (Undetectable) ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นและป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น

☞ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ ART สามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีให้ต่ำจนตรวจไม่พบ ซึ่งช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพดีเหมือนคนทั่วไป

☞ ใช่ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเอชไอวีให้หายขาด การหยุดกินยา ART อาจทำให้ไวรัสกลับมาเพิ่มจำนวนและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้อยา อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่ที่กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการหยุดยาเป็นระยะ

☞ ผู้ใช้บางรายอาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือฝันร้าย ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงแรกและจะดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวได้ ในบางกรณีอาจเกิดผลข้างเคียงระยะยาว เช่น ปัญหาตับหรือไต จึงควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ

☞ หากลืมกินยา ภายใน 12 ชั่วโมง ให้กินทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าใกล้เวลาของมื้อถัดไป ควรข้ามไปเลยและกินตามเวลาปกติ ห้ามเพิ่มขนาดยาเอง เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือภาวะดื้อยาได้

☞ หากใช้ ART อย่างสม่ำเสมอจนมีระดับไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ (U=U: Undetectable = Untransmittable) จะไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ถุงยางอนามัยยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน และไวรัสตับอักเสบ

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

กล่าวโดยสรุป การค้นพบใหม่เกี่ยวกับ การใช้แอนติบอดีเพื่อควบคุมไวรัส HIV โดยไม่ต้องใช้ ART อาจเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษา HIV ในอนาคต ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยบางรายสามารถหยุดการใช้ ART ได้นานถึงเกือบหนึ่งปี ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาวิธีการรักษาใหม่ที่ช่วยลดภาระของการใช้ยา ART อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายและข้อจำกัดที่ต้องแก้ไขก่อนที่วิธีนี้จะสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางการรักษาหลักในวงกว้าง นักวิจัยยังคงต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาแอนติบอดีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น

“ในอนาคต เราอาจได้เห็นยุคใหม่ของการรักษา HIV ที่ไม่ต้องพึ่งพายาทุกวัน
และให้โอกาสแก่ผู้ติดเชื้อในการควบคุมไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

อ้างอิงข้อมูลจาก:

การทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับ HIV และ AIDS

  • hivinfo.nih.gov/understanding-hiv/fact-sheets/hiv-and-aids-clinical-trials

การวิจัยการรักษา HIV ในปี 2024

  • healthequitymatters.org.au/resources/hiv-cure-research-in-2024

การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (แอนไทเรโทรไวรัล. ทีราพี, เออาร์ที)

  • fpnsw.org.au/sites/default/files/assets/thai_treatments.pdf

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า