การตรวจเอชไอวี เป็นวิธีการเดียวที่จะช่วยให้ทราบถึง ผลตรวจเอชไอวี ทำให้รู้ว่าตนติดเชื้อเอชไอวี หรือไม่ เนื่องจากว่าเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการให้เห็นได้ชัดเจนในช่วงแรก ส่งผลให้อัตราการแพร่ระบาดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผู้ติดเชื้อบางรายนั้นไม่ทราบเลยว่าตนมีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย ทำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างรณรงค์ให้ทุกคนเข้ารับการตรวจเอชไอวีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่มีเชื้อเอชไอวี และไม่ได้แพร่เชื้อไปสู่คู่นอนในระยะเวลาที่ผ่านมา
การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจเอชไอวีพบเห็นได้ทั่วไป ผ่านการนำเสนอจากสถานพยาบาล คลินิกเฉพาะทาง รวมถึงการรณรงค์จากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ในวันเอดส์โรค ซึ่งเป็นการตอกย้ำพร้อมทั้งสร้างการตระหนักรู้ถึงภัยจากเอชไอวี เพิ่มความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตนเอง ตลอดจนการรับมือต่อผลการตรวจเอชไอวีเมื่อทราบว่าตนติดเชื้อด้วย
ข้อจำกัดของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
แน่นอนว่าการติดเชื้อเอชไอวี ส่งผลให้มีข้อจำกัดในบางกิจกรรม ดังนั้น ผู้ติดเชื้อพึ่งคำนึงไว้เสมอว่าไม่ควรทำ เช่น
- การบริจาคโลหิต หรือบริจาคอวัยวะ และร่างกาย
- การทำประกันชีวิต (ตรวจสอบเงื่อนไข และข้อกำหนดอย่างละเอียด)
- การเข้าประเทศเพื่อทำงาน พักอาศัย หรือท่องเที่ยว ในบางประเทศ
- การเข้ารับราชการทหาร
ผลตรวจเอชไอวี มีกี่แบบ ?
การตรวจเอชไอวี แน่นอนว่าหลายคนจะต้องเข้าใจว่ามีเฉพาะ ติดเชื้อเอชไอวี และไม่ติดเชื้อเอชไอวี แต่ทราบ หรือไม่ว่าในบางวิธีการตรวจนั้นสามารถแสดงผลการตรวจเอชไอวีได้มากกว่า 2 แบบ ซึ่งเราได้รวบรวมความหมายของผลการตรวจเอชไอวีมาให้ได้ทำความเข้าใจมากขึ้น ดังต่อไปนี้
Negative หรือ Non-reactive
หากคุณเข้ารับการตรวจเอชไอวี และได้ผลลัพธ์ Negative หรือ Non-reactive หมายความว่าคุณ “ไม่มีการติดเชื้อ” ซึ่งหลายคนเข้าในดีในคำว่า ผลเลือดลบ นั่นเอง เกิดจากการตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวีในร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าคุณจะมั่นใจได้ 100% เนื่องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาปัจจัยต่างๆ ร่วมด้วย หรือที่เรียกว่ามีโอกาสเกิดผลลบปลอม (False negative) ที่เกิดจากการตรวจเอชไอวีในช่วงระยะฟักตัวของเชื้อ (Window period) ทั้งที่ร่างกายมีเชื้อเอชไอวีในร่างกายแล้วเพียงแค่ตรวจไม่พบในระยะดังกล่าว ทั้งนี้แพทย์จะนัดทำการตรวจซ้ำอีกครั้งใน 3 – 6 เดือนหลังจากการตรวจครั้งแรก เพื่อเป็นการตรวจยืนยันผลเลือดอีกครั้ง
Reactive หรือ Positive แปลว่า มีการติดเชื้อ ผลเป็นบวก
หากคุณเข้ารับการตรวจเอชไอวี และได้ผลลัพธ์ Reactive หรือ Positive หมายความว่าคุณ “มีเชื้อเอชไอวี” ซึ่งหลายคนเข้าใจกันเป็นอย่างดีในคำว่า เลือดบวก นั่นเอง โดยเกิดจากการตรวจเอชไอวี และพบว่ามีปฏิกิริยาต่อการตรวจ แต่อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับการตรวจพบผลเลือดลบที่อาจเกิดผลเลือกลบปลอมได้
การตรวจเอชไอวีอาจเกิดผลเลือดบวกปลอมได้เช่นกัน (False positive) นั่นหมายความว่าคุณอาจไม่ติดเชื้อเอชไอวี (กรณีนี้พบได้น้อยมาก) ทั้งนี้หากแพทย์ยืนยันผลอย่างเป็นทางการแล้วจะพิจารณาให้คุณเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด หรือในกรณีที่คุณเข้ารับการตรวจในคลินิกเฉพาะทาง แพทย์จะส่งข้อมูลให้กับโรงพยาบาลใกล้เคียงอย่างเร็วที่สุด
Invalid แปลว่า ไม่สามารถแปรผลได้ การตรวจไม่ถูกต้อง
ผลตรวจเอชไอวี ที่แสดงผลว่าไม่สามารถแปรผลได้ เกิดขึ้นได้ในการตรวจด้วย ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV Self-Test) ซึ่งวางจำหน่ายในร้านขายยาที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง โดยสาเหตุของการที่ไม่สามารถแปรผลตรวจเอชไอวีได้นั้น เกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น ขั้นตอนการตรวจที่ไม่ตรงตามคำแนะนำ อายุการใช้งานของชุดตรวจ อุปกรณ์ชำรุดเสียหาย เป็นต้น
การรับมือต่อ ผลตรวจเอชไอวี ควรทำอย่างไร?
การรับมือผลการตรวจเอชไอวี หลังจากที่ได้รับการยืนยันจากแพทย์แล้วว่า คุณมีเชื้อเอชไอวีในร่างกาย สิ่งแรกที่แพทย์ให้คำแนะนำคือควรเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด ควบคู่ไปกับการตั้งสติให้ดี และมองในแง่ทางวิชาการว่า การรักษา คือทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณอยู่ร่วมกับเอชไอวีได้อย่างปกติ หรือหากคุณควบคุมสติตนเองไม่ได้ ควรเลือกปรึกษาแพทย์โดยตรงเท่านั้น เพื่อรับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์พร้อมเพิ่มความมั่นใจต่อการรักษาร่วมด้วย โดยแต่ละกระบวนการรักษาเอชไอวีจะขึ้นอยู่กับระยะในการติดเชื้อรวมถึงสุขภาพร่างกายของผู้ติดเชื้อ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพตรงตามแต่ละบุคคลมากที่สุดนั่นเอง
การตรวจเอชไอวี มีประโยชน์หลายประการ
- การตรวจเอชไอวีช่วยให้ทราบสถานะการติดเชื้อของตนเอง ว่าติดเชื้อหรือไม่
- การรู้ผลตรวจเอชไอวีของตนเองถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการดูแลสุขภาพทางเพศ เพราะหลายคนอาจไม่รู้ว่าตนติดเชื้อ เนื่องจากระยะเริ่มต้นของเอชไอวีมักไม่มีอาการชัดเจน การตรวจจึงเป็นวิธีเดียวที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอน การรู้ผลตรวจช่วยให้คุณเข้าใจสุขภาพของตัวเอง และสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางการดูแลที่เหมาะสมต่อไปได้
- ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว
- หากผลตรวจออกมาเป็นบวก การเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็วที่สุดจะช่วยยับยั้งการทำลายระบบภูมิคุ้มกัน และลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน การเริ่มยาต้านไวรัส (ART) ตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถทำให้ปริมาณเชื้อในเลือดลดลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรง และมีอายุยืนยาวไม่ต่างจากคนทั่วไป
- ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
- เมื่อผู้ติดเชื้อได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องและมีปริมาณเชื้อในเลือดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable) จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อให้ผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ หรือที่เรียกว่าแนวคิด “U=U” (Undetectable = Untransmittable) ดังนั้น การตรวจและรู้สถานะของตนเองจึงเป็นการช่วยป้องกันการแพร่เชื้อในระดับชุมชนไปด้วย
- ผู้ที่ทราบสถานะการติดเชื้อของตนเองสามารถวางแผนชีวิตได้อย่างเหมาะสม
- การรู้ผลตรวจไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพ แต่ยังช่วยให้สามารถวางแผนด้านความสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ การดูแลครอบครัว และการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ผู้ที่มีผลตรวจเป็นลบก็สามารถวางแผนป้องกันตัวเองต่อไป เช่น การใช้ถุงยางอนามัยสม่ำเสมอ หรือการใช้ยา PrEP เพื่อป้องกันการติดเชื้อในอนาคต ส่วนผู้ที่มีผลบวกก็สามารถเริ่มต้นการรักษาได้ทันที และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพเช่นเดียวกัน
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- ไม่กล้าตรวจเอชไอวี เข้าใจสาเหตุ พร้อมวิธีเตรียมใจ และทางเลือกการตรวจ
- เข้าใจ Window Period ระยะเวลาที่ HIV ยังตรวจไม่พบ พร้อมวิธีป้องกัน
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อ ผลตรวจเอชไอวี เป็นบวก
- รับประทานยาให้ตรงตามเวลา อย่างเคร่งครัด
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และสม่ำเสมอ
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ งดเสพสารเสพติดทุกชนิด
- ดูแลตนเองให้มีสุขภาพจิตที่ดี เพื่อให้จิตใจสดใส มีกำลังในการรักษาอย่างต่อเนื่อง หากพบว่าตนมีความกังวลเพียงเล็กน้อย ควรปรึกษาแพทย์ หรือจิตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม ซึ่งข้อนี้มีความสำคัญมากต่อทัศนคติในการเข้ารับการรักษาเอชไอวี นับว่าเป็นแรงขับที่สำคัญไม่แพ้การรักษาจากแพทย์
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่บุคคลอื่น ควรให้คู่นอนเข้ารับการตรวจเอชไอวีทันทีหากทราบผลว่าคุณติดเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว
- ดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากการติดเชื้อต่างๆ เพื่อป้องกัน โรคแทรกซ้อน ที่เกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อนั้นถูกทำลายจากไวรัสเอชไอวี
- อาการเบื่ออาหาร แนะนำให้ทานอาหารบ่อยๆ โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสชาติจัด หรืออาหารที่มีกลิ่นฉุน
- อาการคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ แนะนำให้งดอาหารรสเค็ม รสเปรี้ยว และอาหารประเภททอด
- น้ำหนักลดลง แนะนำให้รับประทานอาหารประเภทเนื้อ แป้ง และดื่มน้ำมากๆ
- มีแผลในปาก แนะนำให้รับประทานอาหารที่ทานง่าย เหลว หรือนิ่มเพื่อให้เคี้ยวง่าย ให้พลังงานสูง
บทสรุป
การรับมือและการดูแลตนเองหลังทราบผลตรวจเอชไอวี ไม่ใช่เพียงเรื่องของการรักษาทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการดูแลจิตใจและทัศนคติของผู้ที่ทราบผลด้วย การมีความรู้ที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อเข้าใจขั้นตอนการรักษาและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น หากมีความกังวลใจ สับสน หรือมีคำถามเกี่ยวกับอาการ ผลข้างเคียงของยา หรือวิถีการใช้ชีวิตประจำวัน ควรกล้าที่จะพูดคุยและสอบถามแพทย์อย่างตรงไปตรงมา เพราะการสื่อสารที่เปิดใจจะช่วยให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ลดความเครียด และทำให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“การมีคนใกล้ชิด เช่น ครอบครัวหรือคู่ชีวิต เข้ารับฟังคำแนะนำจากแพทย์ร่วมกัน จะช่วยสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ลดความเข้าใจผิด และทำให้ผู้ติดเชื้อรู้สึกไม่โดดเดี่ยว การได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างมีผลอย่างมากต่อสภาพจิตใจ และเป็นแรงผลักดันให้ผู้ติดเชื้อปฏิบัติตามการรักษาได้ต่อเนื่อง จนสามารถมีสุขภาพแข็งแรง ใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว”
ท้ายที่สุด การรู้ผลตรวจไม่ว่าจะเป็นผลลบหรือผลบวก ต่างก็เป็นจุดเริ่มต้นของ “การดูแลตัวเองอย่างมีความรับผิดชอบ” ผู้ที่ผลลบควรรักษาพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัยและตรวจซ้ำตามคำแนะนำ ส่วนผู้ที่ผลบวกควรเข้าสู่ระบบการรักษาอย่างเร็วที่สุดและปฏิบัติตามคำแนะนำของทีมแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิผลสูงสุดและลดการแพร่เชื้อในสังคม การดูแลเอชไอวีจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากแต่เป็นเรื่องของการรู้เท่าทัน และร่วมกันสร้างสังคมที่เข้าใจและอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม
อ้างอิงข้อมูลจาก:
- เข้าใจและรับมือเมื่อผลเลือดเอชไอวี (HIV) เป็นบวก
- Reactive หมายถึงอะไร เมื่อทำการตรวจหาเชื้อเอชไอวี
- ติดไวรัสเอชไอวี หลังมีเพศสัมพันธ์ กี่วันถึงตรวจหาเชื้อ

