เอลเลนโทรไปหาแม่ของเขาโดยขอให้แม่ทำแบบทดสอบยอดนิยมทางโทรศัพท์ หนึ่งในคำถามนั้นคือ: “แม่คิดว่าคู่รักเพศเดียวกันควรได้รับสิทธิเช่นเดียวกับคู่รักต่างเพศ รวมทั้งการรับเด็กเป็นลูกบุญธรรมได้ไหม ?” มีแต่ความเงียบที่เกิดขึ้น จากนั้นแม่ของเอลเลนก็ถามว่า “ลูกเป็นเกย์ หรือเปล่า ?” “ใช่ค่ะ” เอลเลนตอบ — จากนั้นสายโทรศัพท์ก็สายขาด ครู่ต่อมา เอลเลนได้รับข้อความ: “แม่ขอโทษที่ฉัน แม่ไม่สามารถรักทั้งหมดที่ลูกเป็นโดยไม่มีเงื่อนไขได้ ความเป็นแม่ลูกเราจบกันแค่นี้” “เมื่อฉันเห็นข้อความนั้น ฉันรู้สึกเหมือนชีวิตทั้งชีวิตพังทลาย” นี่คือสิ่งที่นักศึกษาต่างชาติชาวจีนวัย 33 ปีบอกกับ ABC’s China Tonight.
LGBTQ ชาวจีน การเป็นมลทินในสังคม
‘ฉันซ่อนความเป็นฉัน’ ขณะเรียนที่โรงเรียนในภาคกลางของประเทศจีน เอลเลนรู้อยู่เสมอว่าตัวเขาชอบผู้หญิงแต่ก็ได้เก็บเป็นความลับ “เพื่อนในห้องที่ดูเหมือน ‘บุตช์ เลสเบี้ยน’ หรือเลสเบี้ยนที่ออกแนวไปทางชาย จะถูกรังแก หรือเยาะเย้ย” พวกเขาอธิบาย “ฉันไม่ต้องการเห็นพวกเขาดังนั้นฉันจึงซ่อนตัว” “ฉันแสร้งทำตัวปกติ แสร้งทำเป็นว่าชอบผู้ชาย แสร้งทำเป็นว่าฉันไม่ใช่เกย์”
ตอนแรกเอลเลน ออกตัวว่าเป็นเลสเบี้ยน แต่ตอนนี้ระบุว่าเป็นเควียร์ และไม่ต้องการระบุเพศสภาพ “ฉันไม่รู้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง ฉันพยายามทำตัวให้เป็นผู้หญิงจีนแบบดั้งเดิมตามที่สังคมคาดหวัง แต่ฉันทำไม่สำเร็จ” พวกเขากล่าว “เมื่อฉันรู้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง ฉันก็แบบว่า ‘ฉันมีอิสรภาพ'” หลายปีต่อมาเมื่อ เอลเลน ไปหาแม่ของเขา “ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อนข้างเย็นชา” เอลเลนกล่าว “ฉันพยายามแล้ว — ฉันจะซื้อดอกไม้ให้เธอในวันแม่ และฉันจะซื้อของขวัญให้เธอในวันเกิดของเธอ” หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง แต่หัวข้อเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศ และรสนิยมทางเพศของเอลเลนกลายเป็นเรื่องต้องห้ามในครอบครัว
อัตลักษณ์ทางเพศ และรสนิยมทางเพศ LGBTQ ชาวจีน เป็นหัวข้อต้องห้าม!
“เราดีกันแล้ว” เอลเลนกล่าว “แม่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ฉันแสร้งทำเป็นว่าไม่เคยเกิดขึ้น” การเป็นเควียร์ และเป็นคนจีนมีความท้าทายที่ไม่มีใครเหมือน ยังมีความท้าทายทางกฎหมาย วัฒนธรรม และสังคมอีกมากมายที่ผู้คนในชุมชน LGBTQIA+ ในประเทศจีนที่ยังต้องเผชิญ แม้ว่าการรักร่วมเพศจะถูกกำหนดให้ถูกต้องตามกฎหมายในจีนตั้งแต่ปี 1997 แต่เรื่องเพศ และผู้คนที่มีความหลากหลายทางเพศได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายน้อยมากจากการเลือกปฏิบัติ คู่รักเพศเดียวกันยังคงเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย เช่น ไม่สามารถแต่งงาน และรับบุตรบุญธรรมได้ ในทางตรงกันข้าม การแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันได้รับการรับรองในไต้หวันตั้งแต่ปี 2019
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางการจีนได้ปิดบังประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อประชาคม บัญชี LGBTQIA+ จำนวนมากบน WeChat ถูกบล็อก และลบเนื้อหาทั้งหมดในปี 2021 และงานไพรด์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งจัดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ก็ปิดตัวลงในปี 2020 ปรากฏการณ์ ‘flatmate’ หรือ เพื่อนร่วมห้อง การเปิดตัวยังอาจหมายถึงการเผชิญกับความอับอายจากทางครอบครัว และการถูกตีตราเป็นมลทินทางสังคม แจ็กกี้รู้เรื่องนี้ดี
ในปี 2018 เขาเปิดตัวว่าเป็นเกย์ แต่แม่ของเขาตอบโต้ด้วยการปฏิเสธ และปิดบังความจริงกับคนอื่นๆ ในครอบครัว
- แม่ของ แจ็กกี้ จะบอกญาติๆ และเพื่อนๆ ว่า “ลูกชายของฉันไม่ใช่เกย์ เขายังคงรอผู้หญิงที่เหมาะสม”
- “เธอโกหกในความเป็นตัวฉัน” ผู้อพยพชาวฮ่องกงซึ่งทำงานด้านไอทีเล่าว่า
- แจ็กกี้เชื่อว่าพ่อแม่ชาวจีนหลายคน รวมถึงตัวเขาเองมี “ความคิดแบบเดิมๆ”
- “เราเป็นครอบครัวกวางตุ้ง และการมีลูกก็ค่อนข้างสำคัญสำหรับครอบครัวของฉัน” เขาอธิบาย
- “ถ้าคุณไม่มีลูก หรือไม่ได้แต่งงาน คุณจะนำความอับอายมาสู่ครอบครัวของคุณ”
ตอนนี้ แจ็กกี้ อายุ 27 ปี และอาศัยอยู่ที่ซิดนีย์กับแฟนหนุ่มที่คบกันมา 5 ปี ชื่อ Ash ” LGBTQ ชาวจีน หลายคนเรียกคู่ของพวกเขาว่า ‘flatmate'” แจ็กกี้ กล่าว “นั่นคือวิธีการที่พวกเขาจะบอกเรื่องของพวกเขาต่อพ่อแม่ “เราแสร้งทำแบบนั้นมาพักหนึ่งแล้ว แต่ในที่สุดแม่ก็รู้ และเสียใจมาก” แต่เมื่อใดก็ตามที่แม่ของแจ็คกี้จากฮ่องกงมาเยี่ยมเขา แฟนหนุ่มของเขาก็ต้องหลบซ่อนตัว “เขามีน้ำใจ และอดทนมาก แต่เขาก็เสียใจที่เราแทบไม่ได้เจอกันเลยช่วงนี้ มันไม่ดีต่อความสัมพันธ์ของเรา” แจ็คกี้กล่าว แจ็คกี้อธิบายว่าการออกมาเป็น “ความยืนหยัดในการต่อสู้” “คุณออกไปหาเพื่อน สังคม และครอบครัวของคุณได้ตลอดเวลา” เขากล่าว
“แม่ยังคงไม่ยอมรับฉันในสิ่งที่ฉันเป็น แต่ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งแม่จะทำได้” การเดินทางของการยอมรับตนเองใน LGBTQ ชาวจีน จิงเหม่ยเป็นกะเทยวัย 19 ปี เพศทางเลือก และนักเต้น เมื่อพวกเขายังเด็ก และอาศัยอยู่ในประเทศจีน จิงเหม่ยรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ “เด็กผู้หญิงทั่วไป” “ฉันแต่งตัวเหมือนเด็กผู้ชาย ฉันชอบอยู่กับเด็กผู้ชาย” พวกเขากล่าว จิงเหม่ยไปที่สหรัฐอเมริกาในปีที่ 10 และได้พบกับเควียร์คนหนึ่งในคลาสภาษาเยอรมันของพวกเขา “พวกเขามาหาฉัน และถามว่าต้องเรียกฉันว่าอะไร” พวกเขาถาม “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอคำถามแบบนี้ … ฉันสับสน และไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงอะไร
“ฉันคิดว่าฉันไม่ใช่เด็กผู้ชายทั่วไป หรือผู้หญิงทั่วไป ฉันเป็นแค่ตัวฉันเอง” จิงเหม่ยกล่าวว่าการเต้นรำช่วยให้พวกเขาเข้าใจ และยอมรับตัวตน และเรื่องเพศของพวกเขา “ฉันต่อต้านการสัมผัสส่วนที่ดูเป็นผู้หญิงในร่างกายของฉันมากนัก” เขาอธิบาย แต่เพื่อนๆ สนับสนุนให้เขาลองเต้นในรูปแบบต่างๆ รวมถึงสไตล์ที่เป็นผู้หญิงมากขึ้น เช่น การเต้นแวคกิ้ง และโว้ก “ฉันยังคงดูสวยอยู่นะ” จิงเหม่ยกล่าว “ในที่สุดฉันก็ยอมรับร่างกาย และความเป็นผู้หญิงของฉัน” เมื่ออายุ 16 ปี จิงเหม่ยมีแฟน และตัดสินใจออกมาหาแม่ “แม่ไม่เข้าใจในตอนแรก” พวกเขากล่าว
“แม่คิดว่าฉันยังเด็กเกินไป และฉันแค่พูดเล่น แม่เลยไม่ได้จริงจังกับมัน” แต่ยิ่ง จิงเหม่ยเรียนรู้เรื่องเพศ และรสนิยมทางเพศมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัยแม่มากขึ้นเท่านั้น ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น “และตอนนี้แม่ และฉันก็สนิทกันมาก” พวกเขากล่าว “แม่คิดว่าเพราะฉันเป็นลูกของแม่ และแม่ก็รักฉัน แม่จึงยอมรับในตัวฉันทั้งหมด โดยไม่คำนึงว่าฉันจะเป็นอะไร” จิงเหม่ยรู้ว่าเรื่องที่เขาเปิดตัวเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องปกติ “สำหรับคนเพศทางเลือกจำนวนมากเช่นฉันในประเทศจีน การเปิดตัวอาจเป็นเรื่องยาก ครอบครัว หรือพ่อแม่ของพวกเขาอาจไม่สนับสนุนพวกเขา” พวกเขากล่าว “ความรัก และการยอมรับจากแม่ส่งผลต่อต่อฉันอย่างมาก”