ชุดตรวจเอชไอวี ที่ผ่าน อย. มียี่ห้อไหนบ้าง? แนะนำการใช้งาน

ชุดตรวจเอชไอวี ที่ผ่าน อย. มียี่ห้อไหนบ้าง? แนะนำการใช้งาน

ในยุคที่ความสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัว มีความสำคัญมากขึ้น การเข้าถึงบริการตรวจสุขภาพทางเพศได้ง่ายจึงเป็นเรื่องจำเป็น ชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตนเองหรือ “HIV Self-Test” จึงกลายเป็นนวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียน และรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างเป็นทางการ บทความนี้ จะพาคุณไปรู้จักกับ ชุดตรวจเอชไอวี ที่ผ่านการรับรองในไทย พร้อมข้อมูลเปรียบเทียบในเชิงลึก รวมถึงแนะนำการใช้งานอย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกซื้อชุดตรวจที่เหมาะสม และใช้ชีวิตอย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

ชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตนเองคืออะไร?

ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV Self-Test) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเก็บตัวอย่าง และตรวจการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเองที่บ้าน เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง แต่ไม่ต้องการหรือไม่สะดวกในการเข้ารับการตรวจคัดกรองยังสถานพยาบาลหรือคลินิก เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัว โดยตัวอย่างที่ใช้เก็บมีทั้ง “เลือดจากปลายนิ้ว” และ “สารน้ำในช่องปาก” ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้ ผ่านการทดสอบว่ามีความแม่นยำสูง เมื่อใช้อย่างถูกวิธี

การใช้ ชุดตรวจเอชไอวี ที่เก็บตัวอย่างจากเลือดปลายนิ้ว

การเก็บตัวอย่างจากเลือดปลายนิ้ว หรือ Fingerstick Blood Collection คือกระบวนการเก็บเลือดปริมาณเล็กน้อย จากเส้นเลือดฝอยบริเวณปลายนิ้วมือ โดยใช้เข็มเจาะเฉพาะกิจ เรียกว่า Lancet) เพื่อให้เลือดซึมออกมา แล้วจึงนำเลือดหยดนั้น ไปใช้สำหรับการตรวจวิเคราะห์ต่าง ๆ เช่น การตรวจหาเชื้อเอชไอวี ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด หรือค่าทางโลหิตวิทยาอื่น ๆ

สำหรับการตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง การเก็บเลือดจากปลายนิ้ว เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ เช่น ความแม่นยำสูง, ได้ผลรวดเร็ว และสามารถทำได้ง่ายที่บ้านด้วยตัวเอง

ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างจากเลือดปลายนิ้ว:

  • ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด: เพื่อกำจัดเชื้อโรคและสิ่งสกปรกที่อาจปนเปื้อนตัวอย่างเลือด
  • เช็ดมือให้แห้งสนิท: ความชื้นจะทำให้เลือดไหลได้ยากและอาจเจือจางตัวอย่าง
  • ใช้แอลกอฮอล์เช็ดนิ้ว: โดยเฉพาะบริเวณปลายนิ้วที่จะเจาะ (นิยมเลือกนิ้วกลางหรือนิ้วนาง)
  • ใช้เข็มเจาะปลายนิ้ว: เจาะเบา ๆ แล้วบีบนวดบริเวณโคนมือเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลออก
  • เก็บเลือดตามปริมาณที่กำหนด: ส่วนมากชุดตรวจจะมีอุปกรณ์สำหรับดูดเลือด หรือใช้หยดเลือดลงบนแผ่นตรวจโดยตรง
  • ดำเนินการทดสอบตามขั้นตอนที่ระบุในคู่มือ: เช่น หยดเลือดลงบนตลับทดสอบ เติมน้ำยา และจับเวลา

ข้อดีของการเก็บตัวอย่างจากเลือดปลายนิ้ว:

  • แม่นยำสูง เนื่องจากเลือดมีความเข้มข้นของแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวีสูงกว่าสารน้ำในช่องปาก
  • สะดวกรวดเร็ว เลือดสามารถใช้ตรวจหาเชื้อและให้ผลได้ภายในไม่กี่นาที
  • อุปกรณ์ง่ายต่อการใช้งาน ชุดตรวจเอชไอวี มักมีอุปกรณ์ครบในกล่อง ทั้งเข็มเจาะ ปลอกดูดเลือด และแผ่นตรวจ

ข้อควรระวังในการเก็บเลือดปลายนิ้ว:

  • ห้ามใช้เลือดที่ไหลออกหลังการบีบมือรุนแรงเกินไป เพราะอาจมีการเจือจางจากของเหลวในเนื้อเยื่อ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสปลายนิ้วที่เจาะกับสิ่งสกปรก
  • ควรใช้เข็มเจาะใหม่ทุกครั้ง ห้ามนำเข็มเก่ากลับมาใช้ซ้ำ

ชุดตรวจเอชไอวี ที่เก็บตัวอย่างจากเลือดปลายนิ้ว กับชุดตรวจเอชไอวีที่เก็บตัวอย่างจา

การใช้ ชุดตรวจเอชไอวี ที่เก็บตัวอย่างจากสารน้ำในช่องปาก

การเก็บตัวอย่างจากสารน้ำในช่องปาก หรือ Oral Fluid Collection คือกระบวนการเก็บสารคัดหลั่งจากเนื้อเยื่อเหงือกภายในช่องปาก เพื่อนำมาตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี หรือเชื้อโรคอื่น ๆ โดยไม่ต้องใช้เข็มเจาะเลือด วิธีนี้สะดวก ปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด จึงได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง

สารน้ำในช่องปาก ที่นำมาใช้ตรวจ ไม่ใช่น้ำลายธรรมดา แต่เป็นของเหลวที่อยู่บริเวณรอยต่อระหว่างเหงือกกับฟัน ซึ่งมีแอนติบอดี (Antibodies) ต่อเชื้อเอชไอวีอยู่ในระดับที่สามารถตรวจพบได้

ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างจากสารน้ำในช่องปาก:

  • เตรียมช่องปากให้สะอาด: งดดื่มน้ำ รับประทานอาหาร แปรงฟัน หรือเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างน้อย 30 นาทีล่วงหน้า
  • เปิดซองไม้ป้ายอย่างระมัดระวัง: หลีกเลี่ยงการสัมผัสปลายไม้ป้ายกับสิ่งอื่น
  • ถูไม้ป้ายช้า ๆ: ปาดไปตามเหงือกด้านบนหนึ่งครั้ง และเหงือกด้านล่างหนึ่งครั้ง โดยใช้แรงพอประมาณ
  • ใส่ไม้ป้ายลงในหลอดหรือน้ำยาทดสอบ: ตามที่ระบุในชุดตรวจ
  • รอเวลา: โดยทั่วไปประมาณ 20-40 นาที ก่อนอ่านผลตรวจ

ข้อดีของการเก็บตัวอย่างจากสารน้ำในช่องปาก:

  • ไม่ต้องเจาะเลือด: ลดความกลัวเข็มและความเจ็บปวด
  • สะดวกและง่าย: เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีทักษะทางการแพทย์
  • รวดเร็ว: ใช้เวลาเก็บตัวอย่างเพียงไม่กี่วินาที
  • ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อข้าม: เพราะไม่สัมผัสเลือดโดยตรง

ข้อควรระวังในการเก็บตัวอย่างจากสารน้ำในช่องปาก:

  • ห้ามรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ สูบบุหรี่ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ก่อนเก็บตัวอย่างอย่างน้อย 30 นาที
  • ต้องใช้ไม้ป้ายใหม่จากชุดตรวจที่สมบูรณ์ ไม่ควรนำอุปกรณ์เก่ากลับมาใช้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสไม้ป้ายกับฟัน กระพุ้งแก้ม หรือสิ่งอื่น ๆ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
  • ต้องถูบริเวณ “แนวเหงือก” (ไม่ใช่เพียงป้ายในปากแบบทั่ว ๆ ไป) เพื่อให้ได้ตัวอย่างที่มีคุณภาพ
  • ต้องอ่านผลในระยะเวลาที่กำหนด หลีกเลี่ยงการอ่านผลก่อนหรือหลังเวลาที่แนะนำ

ประเภทของ ชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตนเอง

ชุดตรวจเอชไอวี ในประเทศไทยที่ผ่าน อย. แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามประเภทตัวอย่างที่ใช้ตรวจ ได้แก่

ชุดตรวจจากเลือดปลายนิ้ว ชุดตรวจจากสารน้ำในช่องปาก
▶ ใช้ตัวอย่างเลือดหยดเล็ก ๆ จากปลายนิ้ว ▶ ใช้ไม้ป้ายปาดน้ำลายตามเหงือก
▶ มีความไวสูงมาก (≥ 99.5%) ▶ ไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้เลือด
▶ ความจำเพาะสูง (≥ 99%) ▶ ความไวประมาณ (≥ 99%)
และความจำเพาะ (≥ 98%)
▶ ตัวอย่างยี่ห้อ เช่น INSTI, iCare ▶ ตัวอย่างยี่ห้อ เช่น OraQuick

ความไว (Sensitivity) คืออะไร?

ความไว (Sensitivity) หมายถึง ความสามารถของชุดตรวจในการตรวจการติดเชื้อได้อย่างถูกต้อง หรือพูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณติดเชื้อจริง ชุดตรวจสามารถบอกได้อย่างถูกต้องว่าคุณมีการติดเชื้อกี่เปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่น:

☞ หากชุดตรวจมี ความไว 99.5% หมายความว่า ถ้ามีคนติดเชื้อ 100 คน ชุดตรวจสามารถตรวจเจอได้ประมาณ 99-100 คน อาจมีโอกาสพลาดเพียง 0.5 คนเท่านั้น (ซึ่งถือว่าน้อยมาก)

ความจำเพาะ (Specificity) คืออะไร?

ความจำเพาะ (Specificity) หมายถึง ความสามารถของชุดตรวจในการแยกแยะผู้ที่ไม่ติดเชื้อได้อย่างถูกต้อง หรือพูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณไม่ติดเชื้อจริง ชุดตรวจสามารถบอกได้อย่างถูกต้องว่าคุณไม่ติดเชื้อกี่เปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่น:

☞ หากชุดตรวจมี ความจำเพาะ 99% หมายความว่า ถ้ามีคนที่ไม่ติดเชื้อ 100 คน ชุดตรวจสามารถบอกได้ถูกต้องว่า 99 คนไม่ติดเชื้อ และอาจมีแค่ 1 คนที่ตรวจออกมาผิดว่า “ติดเชื้อ” (แม้ความจริงจะไม่ติด)

รายชื่อ ชุดตรวจเอชไอวี ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ในไทย

อินสติ® (INSTI® HIV Self Test)

  • ประเภท: เลือดปลายนิ้ว
  • วิธีการทำงาน: Immuno Dot – Flow-through device
  • ระยะเวลาทราบผล: ประมาณ 60 วินาที
  • จุดเด่น: ทราบผลเร็วที่สุดในตลาด
  • ความไว: ≥ 99.5%
  • ความจำเพาะ: ≥ 99%
  • ผลิตโดย: bioLytical Laboratories, ประเทศแคนาดา
  • นำเข้าโดย: บริษัท ไฮเจีย ลอจิสติกส์ จำกัด
  • ขึ้นทะเบียน อย. วันที่: 28 พฤษภาคม 2564
  • ราคา 550-700 บาท

ช่องทางการจัดจำหน่าย

วิธีการใช้งานชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง อินสติ (INSTI)

ออราควิก® (OraQuick® HIV Self-Test)

  • ประเภท: สารน้ำในช่องปาก
  • วิธีการทำงาน: Immunochromatographic Assay
  • ระยะเวลาทราบผล: 20-40 นาที
  • จุดเด่น: ไม่ต้องเจาะเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม
  • ความไว: ≥ 99%
  • ความจำเพาะ: ≥ 98%
  • ผลิตโดย: OraSure Technologies, ประเทศสหรัฐอเมริกา
  • นำเข้าโดย: บริษัท แปซิฟิค ไบโอเทค จำกัด
  • ขึ้นทะเบียน อย. วันที่: 20 กรกฎาคม 2564
  • ราคา 350 บาท

ช่องทางการจัดจำหน่าย

ชุดตรวจเอชไอวี ออราควิก (OraQuick HIV Self-Test)

วิธีการใช้งานชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง ออราควิก (OraQuick)

ชุดตรวจเอชไอวี iCare Hiv Test Kit

ไอแคร์® (iCare® HIV 1&2 Rapid Screen Test)

  • ประเภท: เลือดปลายนิ้ว
  • วิธีการทำงาน: Lateral Flow Immunoassay
  • ระยะเวลาทราบผล: 15-20 นาที
  • จุดเด่น: ราคาเข้าถึงได้ง่าย
  • ความไว: ≥ 99.5%
  • ความจำเพาะ: ≥ 99%
  • ผลิตโดย: Nantong Egens Biotechnology, ประเทศจีน
  • นำเข้าโดย: บริษัท ยี่สิบสี่ ไอที เน็ตเวิร์ค จำกัด
  • ขึ้นทะเบียน อย. วันที่: 13 กันยายน 2565
  • ราคา 300 บาท

ช่องทางการจัดจำหน่าย

  • Website: www.icare-thai.com

วิธีการใช้งานชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง ไอแคร์ (iCare)

เช็คนาว® (CheckNOW® HIV Self-Test)

  • ประเภท: เลือดปลายนิ้ว
  • วิธีการทำงาน: Immunochromatography (3rd generation)
  • ระยะเวลาทราบผล: 15-20 นาที
  • จุดเด่น: อ่านผลง่าย ความแม่นยำสูงมาก
  • ความไว: ≥ 99.5%
  • ความจำเพาะ: ≥ 99%
  • ผลิตโดย: Abon Biopharm (Hangzhou), ประเทศจีน
  • นำเข้าโดย: บริษัท ดีซีเอช ออริกา (ประเทศไทย) จำกัด
  • ขึ้นทะเบียน อย. วันที่: 25 ตุลาคม 2566

*ไม่มีจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ มีเฉพาะหน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช.เท่านั้น

ชุดตรวจเอชไอวี CheckNOW HIV Self-Test

วิธีการใช้งานชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง เช็คนาว (CheckNOW)

วิธีการอ่านผลจาก ชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตนเอง

วิธีการอ่านผลจากชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง

เมื่อทำการทดสอบด้วยชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเองแล้ว การอ่านผลเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณทราบสถานะเบื้องต้นของตัวเองได้อย่างถูกต้อง โดยผลตรวจที่ได้สามารถแปลออกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่ มีปฏิกิริยา (Reactive), ไม่มีปฏิกิริยา (Non-Reactive) และไม่สามารถแปลผลได้ (Invalid) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:

1. ผลตรวจ “มีปฏิกิริยา” (Reactive)

  • ชุดตรวจที่ 1: พบ 2 จุด/แถบ คือจุดใกล้ตัวอักษร “C” และอีกจุดหนึ่งที่อยู่ด้านล่างของชุดตรวจ
  • ชุดตรวจที่ 2 และ 3: ปรากฏแถบสีแดงทั้งที่บริเวณตัวอักษร “C” และตัวอักษร “T” หรืออาจเห็นแถบที่ “C” และ “T” ขึ้นเลือนลาง

ความหมาย: มีโอกาสสูงว่าคุณอาจติดเชื้อ HIV แต่ยังต้องตรวจยืนยันซ้ำที่สถานพยาบาล เนื่องจากอาจมีสาเหตุอื่นทำให้ผลบวกปลอมได้

2. ผลตรวจ “ไม่มีปฏิกิริยา” (Non-Reactive)

  • ชุดตรวจที่ 1: ปรากฏ จุดเดียว ใกล้ตัวอักษร “C” เท่านั้น
  • ชุดตรวจที่ 2 และ 3: ปรากฏแถบสีแดงเฉพาะที่ตัวอักษร “C” เพียงแถบเดียว


ความหมาย:
ตรวจไม่พบการติดเชื้อ HIV ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม หากมีความเสี่ยงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (ช่วง Window Period) ควรตรวจซ้ำอีกครั้งในอนาคต

3. ผลตรวจ “ไม่สามารถแปลผลได้” (Invalid)

หากพบว่า:

  • ชุดตรวจที่ 1: ไม่มีจุดปรากฏที่ตัวอักษร “C” หรือไม่มีจุดใด ๆ ปรากฏเลย
  • ชุดตรวจที่ 2 และ 3: เกิดข้อผิดพลาด เช่น
    • ไม่ปรากฏแถบสีแดงทั้งที่ตำแหน่ง “C” และ “T” (รูปที่ 1)
    • ปรากฏแถบสีแดงเฉพาะที่ “T” เท่านั้น หรือแถบสามเหลี่ยมผิดตำแหน่ง (รูปที่ 2 และ 4)
    • ปรากฏแถบสีแดงเฉพาะที่ “T” (รูปที่ 3)
    • พื้นหลังของแถบมีลักษณะผิดปกติ เช่น ไม่มีเส้น (รูปที่ 5)

ความหมาย: ผลตรวจนี้ไม่สามารถสรุปผลได้ ต้องทำการทดสอบใหม่ด้วยชุดตรวจใหม่ และต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด

หลังจากรู้ผลตรวจเอชไอวี ต้องทำอย่างไร?

การตรวจเอชไอวีด้วยตนเองเป็นเพียงขั้นตอนเบื้องต้นในการประเมินสถานะสุขภาพของคุณเอง หลังจากได้ผลตรวจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลลบหรือผลบวก ก็ควรมีการดำเนินการต่อไปอย่างเหมาะสม เพื่อดูแลตัวเองและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

กรณีผลลบ (Non-Reactive)

  • หากไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา: ผลตรวจของคุณสามารถเชื่อถือได้ และคุณสามารถสบายใจได้ในเบื้องต้นว่าไม่มีการติดเชื้อเอชไอวี
  • หากมีพฤติกรรมเสี่ยงเมื่อไม่นานมานี้: ตัวอย่างของพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย, มีคู่นอนหลายคน, ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน, หรือได้รับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรอง
  • แม้ผลจะออกมาเป็นลบในตอนนี้ แต่ร่างกายอาจยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “Window Period” คือ ระยะเวลาที่ร่างกายยังไม่สร้างแอนติบอดีเพียงพอให้ตรวจเจอได้

ดังนั้นควร:

  • รอตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากครบ 3 เดือน นับจากวันที่มีความเสี่ยง
  • และในระหว่างนี้ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่มเติม

ความสำคัญของการตรวจซ้ำ – การตรวจซ้ำหลังครบ 3 เดือน จะช่วยยืนยันผลได้อย่างแม่นยำที่สุด เพราะเป็นช่วงที่แอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี จะสามารถตรวจพบได้อย่างแน่นอน หากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นจริง

กรณีผลบวก (Reactive)

  • ไปยืนยันผลที่สถานพยาบาลทันที: ผลบวกจากการตรวจด้วยชุดตรวจตนเอง ยังไม่ถือเป็นการวินิจฉัยโรคอย่างเป็นทางการ จำเป็นต้องไปพบแพทย์หรือติดต่อสถานพยาบาล เพื่อทำการตรวจยืนยันด้วยวิธีมาตรฐาน เช่น
    • การตรวจแอนติบอดีด้วยเทคนิคต่าง ๆ (ELISA, Western blot)
    • หรือการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส (HIV RNA)
  • เริ่มต้นการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART): หากการตรวจยืนยันว่าติดเชื้อจริง การรักษาจะเริ่มต้นด้วยการให้ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy: ART) โดย:
    • ยาจะช่วยกดปริมาณไวรัสในเลือดให้น้อยจนตรวจไม่พบ (Undetectable Viral Load)
    • ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
    • ช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้แทบเป็นศูนย์ (U=U: Undetectable = Untransmittable)
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกายและใจ: การรับรู้ว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีอาจก่อให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า ดังนั้นจึงควร:
    • เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ พยาบาล หรือนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์
    • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน หรือกลุ่มผู้ติดเชื้อ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
    • ดูแลทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจควบคู่กัน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

 

ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง ซื้อได้จากที่ไหน

 

ชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตัวเอง ซื้อได้จากที่ไหน?

ปัจจุบันในประเทศไทย ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV Self-Test) ได้รับการอนุญาตให้ประชาชนสามารถซื้อได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะชุดตรวจที่ได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อความมั่นใจในคุณภาพและความแม่นยำ สถานที่และช่องทางที่คุณสามารถซื้อได้ มีดังนี้:

✔ ร้านขายยาที่มีใบอนุญาตถูกต้อง

  • ร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมาย
  • โดยเภสัชกรจะสามารถให้คำแนะนำในการเลือกและใช้งานชุดตรวจได้

ข้อแนะนำ: เลือกร้านขายยาที่มีเภสัชกรอยู่ประจำ และสอบถามว่าชุดตรวจมีทะเบียน อย. หรือไม่ เช่นร้าน Boots, Watsons, Save Drug, Fascino (บางสาขา)

✔ คลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีบริการสุขภาพทางเพศ

  • คลินิกเฉพาะทาง เช่น คลินิกสุขภาพทางเพศ คลินิกนิรนาม
  • โรงพยาบาลบางแห่งมีบริการจำหน่ายชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจคัดกรองเบื้องต้น
  • บางคลินิกมีบริการ “ปรึกษา+จำหน่ายชุดตรวจ” พร้อมบริการอ่านผลเบื้องต้น

✔ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ได้รับการรับรอง

  • เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ขายผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างถูกกฎหมาย และระบุเลขทะเบียน อย. ชัดเจน
  • ควรเลือกเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บตรงจากบริษัทผู้ผลิต, ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาต, หรือแพลตฟอร์มใหญ่ที่มีระบบตรวจสอบสินค้า

ข้อแนะนำ: ควรเลือกซื้อจากเว็บไซต์ของผู้ผลิตหรือนำเข้าโดยตรง เว็บไซต์เภสัชออนไลน์ เว็บไซต์ของคลินิกที่ให้บริการด้าน HIV Shopee, Lazada (เลือกผู้ขายที่ได้รับตรารับรอง และมีรีวิวดี)

✔ โครงการแจกชุดตรวจฟรี (เฉพาะบางกลุ่ม)

โครงการของกระทรวงสาธารณสุขหรือองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่มีบริการแจกชุดตรวจเอชไอวีฟรี เช่น

  • ศูนย์บริการให้คำปรึกษาและตรวจเอชไอวี (VCCT)
  • องค์กรที่ทำงานด้านการลดการติดเชื้อเอชไอวี
  • แต่เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการอาจจำกัด เช่น ต้องอยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มประชากรเฉพาะ

ข้อควรระวังในการซื้อ ชุดตรวจเอชไอวี

  • เลือกซื้อชุดตรวจที่มี “เครื่องหมาย อย.” เท่านั้น
  • ตรวจสอบวันหมดอายุบนกล่อง
  • อย่าใช้ชุดตรวจที่บรรจุภัณฑ์ชำรุดหรือดูผิดปกติ
  • อ่านฉลากและคู่มือการใช้งานก่อนทำการตรวจทุกครั้ง
  • หากไม่แน่ใจผลที่ได้ ควรตรวจซ้ำที่สถานพยาบาล

การกดรับ ชุดตรวจเอชไอวี ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง

คนไทยทุกคนมีสิทธิรับชุดตรวจฟรี ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ทำการนัดหมายและไปรับชุดตรวจได้จากสถานบริการที่เลือกรับได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2568 โดยสามารถดูรายชื่อสถานพยาบาลที่บริการได้ที่นี่

ซึ่งสามารถกดรับได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนดังนี้

วิธีกดรับ ชุดตรวจเอชไอวี ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง 1

วิธีกดรับ ชุดตรวจเอชไอวี ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง 2

วิธีกดรับ ชุดตรวจเอชไอวี ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง 3

ทิ้งชุดตรวจเอชไอวีอย่างไรให้ปลอดภัย?

แม้ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองจะออกแบบมาให้ใช้งานสะดวกที่บ้าน แต่หลังการใช้งานแล้ว อุปกรณ์หลายชิ้น เช่น เข็มเจาะปลายนิ้ว, หลอดเก็บตัวอย่าง, แผ่นตรวจ ฯลฯ ถือเป็น “ขยะติดเชื้อ” หรือ “ขยะอันตราย” ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการกำจัดอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและอันตรายต่อผู้อื่น

ขั้นตอนการจัดเก็บวัสดุที่ใช้แล้ว

  • เก็บชุดตรวจที่ใช้แล้วให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง: เพื่อป้องกันการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ หรือการกัดแทะที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อหรืออันตรายอื่น ๆ
  • รวบรวมวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมดใส่ในถุงของชุดตรวจ: เช่น เข็มเจาะปลายนิ้ว หลอดเก็บตัวอย่าง แผ่นตรวจ หรือวัสดุที่เปื้อนเลือด ควรใส่กลับไปในถุงบรรจุภัณฑ์ของชุดตรวจที่ได้รับมา
  • ปิดผนึกถุงให้แน่นหนา: เพื่อป้องกันการรั่วไหลของของเหลวหรือสิ่งปนเปื้อน และลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ

วิธีทำลายวัสดุอุปกรณ์เพิ่มเติม

สำหรับส่วนประกอบที่ไม่มีคม: เช่น แผ่นตรวจ หลอดหยด หรือซองบรรจุน้ำยา สามารถทำลายเบื้องต้นได้โดย

  • เติมน้ำยาล้างจาน หรือผงซักฟอกลงไปในวัสดุ
  • จากนั้นบรรจุวัสดุเหล่านี้ลงในถุงพลาสติก
  • มัดปากถุงให้แน่น
  • ติดฉลากระบุว่า “ขยะติดเชื้อ”

สำหรับส่วนประกอบที่มีคม เช่น เข็มเจาะปลายนิ้ว ต้องจัดเก็บในภาชนะที่:

  • ทนทานต่อการแทงทะลุ เช่น ขวดพลาสติกแข็ง หรือกล่องพลาสติก
  • มีฝาปิดแน่นหนา เพื่อป้องกันการรั่วไหลของของเหลว
  • บรรจุวัสดุไม่เกิน ¾ ของปริมาตรภาชนะ เพื่อปิดฝาได้สนิท

การทิ้งวัสดุอุปกรณ์

  • ทิ้งลงในถังขยะติดเชื้อ: หากบริเวณที่ใช้งานมี ถังขยะสีแดง (สำหรับขยะติดเชื้อ) ควรนำถุงบรรจุอุปกรณ์ไปทิ้งในถังดังกล่าว
  • กรณีไม่มีถังขยะสีแดง: สามารถทิ้งในถังขยะทั่วไปได้ แต่ต้องมั่นใจว่าบรรจุอุปกรณ์มิดชิด ป้องกันการรั่วไหล และมีการติดป้ายระบุว่า “ขยะติดเชื้อ” อย่างชัดเจน

ล้างมือหลังจัดการขยะ

หลังจากรวบรวมและทิ้งวัสดุอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างน้อย 20 วินาที เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ทิ้งชุดตรวจเอชไอวีอย่างไรให้ปลอดภัย

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

ตอบ: หากเป็นชุดตรวจที่ผ่านการรับรองจาก อย. ความไวและความจำเพาะสูงมาก (≥ 99%) โดยเฉพาะถ้าใช้งานอย่างถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนด ความแม่นยำจะใกล้เคียงกับการตรวจที่สถานพยาบาล

ตอบ: ถ้าคุณไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ผลลบมีความน่าเชื่อถือสูง แต่ถ้ามีพฤติกรรมเสี่ยงในช่วงไม่นานนี้ ควรตรวจซ้ำหลังครบ 3 เดือน (Window Period)

ตอบ: ผลบวกจากชุดตรวจตนเองยังไม่ถือเป็นการวินิจฉัยที่แน่นอน ต้องไปตรวจยืนยันที่สถานพยาบาลทันที และเริ่มต้นกระบวนการรักษาอย่างเหมาะสม

ตอบ: โดยทั่วไป ชุดตรวจเอชไอวีมีอายุการเก็บรักษาเฉลี่ย 12–24 เดือน นับจากวันผลิต ก่อนใช้งานควรตรวจสอบวันหมดอายุที่ระบุบนกล่องเสมอ และเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม

ตอบ: ชุดตรวจจากสารน้ำในช่องปากมีความแม่นยำดี แต่โดยทั่วไปชุดตรวจเลือดปลายนิ้วจะมีความไวและความจำเพาะสูงกว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะในกรณีที่เพิ่งติดเชื้อใหม่ ๆ

ตอบ:

  • ล้างมือให้สะอาด (สำหรับชุดตรวจเลือด)
  • งดกินอาหาร ดื่มน้ำ สูบบุหรี่ หรือแปรงฟัน 30 นาทีก่อนตรวจ (สำหรับชุดตรวจน้ำลาย)
  • อ่านคู่มือการใช้งานอย่างละเอียด และทำตามทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สรุปส่งท้าย “ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง” เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างสะดวกและปลอดภัย การเลือกใช้ชุดตรวจที่ได้รับการรับรองจาก อย. จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในผลลัพธ์ และหากใช้คู่กับการประเมินความเสี่ยงของตนเองอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้า! ตรวจเอชไอวีด้วยตนเองวันนี้ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง และอนาคตที่มั่นใจ

อ้างอิงข้อมูลจาก:

HIVSST ระบบขอรับการสนับสนุนชุดตรวจเอชไอวีและการให้การปรึกษาทางออนไลน์

  • hivsst.ddc.moph.go.th/

ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV Self Test)

  • oryor.com/media/infoGraphic/media_printing/2144

อย. แนะเลือกชุดตรวจ HIV ด้วยตนเอง ก่อนซื้อสังเกตฉลาก

  • fda.moph.go.th/news/hiv

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า