เอชไอวี (HIV) เรื่องใกล้ตัว ควรเรียนรู้

เอชไอวี (HIV) ที่หลายคนรู้จัก คือเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากไม่ทำการรักษาก็จะเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า โรคเอดส์ (AIDS) คือระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและมีโรคแทรกซ้อนได้ โดยที่เชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายและกินเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ซีดีโฟร์(CD4) บางคนไม่แสดงอาการใด ๆ แต่จะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคลดต่ำลง และมีโอกาสเติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ วัณโรค ปอดบวม เป็นต้น และหากไม่ได้ทำการรักษาก็จะทำให้เสียชีวิต

เอชไอวี เกิดจาก

ผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV ประมาณ 14-28 วัน จะมีอาการคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป หรือคล้ายกับอาการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ เป็น เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV) คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานบกพร่อง ทำให้ร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีเสี่ยงต่อการติดเชื้อและป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่ายมากกว่าคนปกติ ซึ่งเชื้อเอชไอวี (HIV) ในปัจจุบันถูกค้นพบมากกว่า 10 สายพันธุ์กระจายอยู่ทั่วโลก โดยสายพันธ์ุดั้งเดิม แบ่งตามลักษณะทางพันธุกรรมออกเป็น 2 ชนิด คือ​

  • HIV-1 : พบมากในประเทศแถบ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และแอฟริกากลาง 
  • HIV-2 : พบมากในประเทศอินเดีย และแอฟริกาตะวันตก

เชื้อเอชไอวี (HIV) จะมี p24 antigen หรือสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์สร้างภูมิคุ้มกันต้านทาน หรือ แอนติบอดี (Antibody) ต่อไวรัสนี้ และส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย หากร่างกายได้รับเชื้อเอชไอวีแล้วจะไม่สามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีออกไปได้ ซึ่งเชื้อเอชไอวีจะคงอยู่ตลอดไป

อาการ ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) 

ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ประมาณ 14-28 วัน จะมีอาการคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป หรือคล้ายกับอาการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์ และจะไม่แสดงอาการอีกในระยะเวลาหลายปี เป็นช่วงที่ผู้ติดเชื้อ สามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย

  • มีไข้ หนาวสั่น 
  • อาการไอเรื้อรัง 
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • ปวดเมื่อย เมื่อยล้าตามตัว 
  • ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ
  • คลื่นไส้อาเจียน   
  • ผิวหนังเป็นผื่น ผิวหนังอักเสบ รอยฟกช้ำเป็นจุด
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม  
  • น้ำหนักลด ท้องเสียเรื้อรัง 
  • เหงื่อออกมากผิดปกติ  
ผิวหนังเป็นผื่น

หากพบว่ามีอาการดังกล่าวไม่ควรปล่อยปละละเลย ให้รีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเลือดเพื่อความแน่นอน และหากผลการตรวจพบว่ามีเชื้อไวรัสเอชไอวี จะได้ทำการรักษาและป้องกันการกระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้อย่างทันท่วงที

เอชไอวี มีกี่ระยะ?

อาการของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ปรากฎขึ้น เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเอชไอวีแล้ว จะแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ​

  1. ระยะติดเชื้อปฐมภูมิเอชไอวี ระยะเริ่มต้น : ผู้ป่วยในระยะนี้จะแสดงอาการผิดปกติน้อย และอาการต่าง ๆ สามารถหายเองได้ในเวลา 14-28 วัน ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการที่คล้ายคลึงกับอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ถ่ายอุจจาระเหลว และต่อมน้ำเหลืองโต เป็นระยะที่วินิจฉัยได้ค่อนข้างยาก จึงต้องใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อความชัดเจนมากที่สุด
     
  2. ระยะติดเชื้อเรื้อรัง : เป็นระยะมีการติดเชื้อฉวยโอกาสอย่างรุนแรง ผู้ป่วยในระยะนี้จะแสดงอาการที่ชัดเจนมากขึ้นแต่อาการมักจะไม่มีความรุนแรง เช่น วัณโรค ปอดกำเริบ มีเชื้อราขึ้นที่ลิ้น โรคงูสวัด โรคเริม เป็นต้น โดยที่เชื้อไวรัสเอชไอวี จะแทรกตัวในต่อมน้ำเหลืองและม้าม ซึ่งจะทำระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยในระยะนี้จะไม่มีอาการผิดปกติที่เด่นชัด
     
  3. ระยะโรคเอดส์ : เป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายเสียหายอย่างหนัก ทำให้ร่างกายติดเชื้อและเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต เนื่องจากอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ผู้ป่วยในระยะนี้จะแสดงอาการที่รุนแรงอย่างชัดเจน เช่น อ่อนเพลียมาก น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ท้องร่วงเรื้อรัง มีไข้เรื้อรัง วัณโรคที่ปอด มะเร็งชนิดต่าง ๆ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ โรคมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

ประเด็นสำคัญ!
ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ไม่เรียกว่าผู้ป่วยเป็น “โรคเอดส์” 

เอชไอวี (HIV) ติดต่อทางไหนบ้าง?

  • การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โดยไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย
  • การสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งต่าง ๆ ของติดเชื้อเอชไอวี เช่น น้ำลาย น้ำอสุจิ เสมหะ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด น้ำนมแม่ เป็นต้น
  • ติดเชื้อผ่านบาดแผลเปิด แผลเริม และแผลติดเชื้อ
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การใช้เข็มเจาะหู และการสักลงบนผิวหนัง 
  • การติดต่อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก (Vertical Transmission)

วิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (HIV)

การป้องกันการติดเชื้อ HIV สามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยการตระหนักและปฏิบัติตามวิธีต่าง ๆ ดังนี้

  • สวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่คู่สมรส หรือคนที่ไม่รู้จัก
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาเสพติดชนิดเข้าเส้นร่วมกับคนอื่น
  • หากต้องการสักตามผิวหนัง หรือเจาะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ต้องมั่นใจว่าสถานบริการนั้น ๆ ปลอดภัยไว้ใจได้
  • ตระหนักไว้เสมอว่า ไม่ว่าใครก็มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ทั้งสิ้น จึงไม่ควรไว้วางใจคนที่เป็นคู่นอน และป้องกันตัวเองอย่างรอบคอบ
  • ตรวจเลือดก่อนการแต่งงาน เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของทั้งคู่ไม่มีการติดเชื้อ หรือเป็นโรคอื่น ๆ ที่สามารถแพร่สู่คู่สมรสได้
  • รับการตรวจเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  • การใช้ยาต้านเชื้อเอชไอวี (Pre-Exposure Prophylaxis) ที่ช่วยป้องกัน ยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อ และช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV จากการมีเพศสัมพันธ์ได้มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์
  • อย่าลืมตรวจ HIV กันเป็นประจำนะครับ  ค้นหาสถานที่ตรวจ ไปได้ที่https://love2test.org/th/clinic

การรักษา ดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ในปัจจุบันเอชไอวีรักษาไม่หายขาดขาด มีเพียงการรักษาด้วยยาต้านเอชไอวี เพราะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ทานอาหารที่มีประโยชน์
ดูแลสุขภาพจิตใจ