เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ประเทศไทยก้าวหน้าไปอีกขั้นสู่ความเท่าเทียมกันทางเพศ เมื่อสภาผู้แทนราษฎร ลงมติผ่านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ (ฉบับที่…) หรือที่รู้จักกันในชื่อร่าง กฎหมายสมรสเท่าเทียม ด้วยคะแนนเสียง 207 ต่อ 173 เสียง ร่างกฎหมายฉบับนี้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้อย่างถูกกฎหมาย แก้ไขกฎหมายเดิมที่จำกัดการสมรสไว้เพียงระหว่างเพศชายกับเพศหญิงเท่านั้น
ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ ประเทศไทยเตรียมสร้างประวัติศาสตร์ก้าวสำคัญครั้งใหม่ เพื่อความเท่าเทียมกัน ด้วยการลงมติร่าง กฎหมายสมรสเท่าเทียม (ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม) ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนอันน่าจดจำ นับเป็นผลลัพธ์จากเสียงเรียกร้อง ของกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิ LGBTQIAN+ นักวิชาการ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาอย่างยาวนาน
ร่างกฎหมายฉบับนี้ มุ่งหวังให้ทุกคนสามารถแต่งงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่คำนึงถึงรสนิยมทางเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งจะเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญ เพื่อสร้างสังคมที่ยอมรับความหลากหลายมากขึ้นในประเทศไทย
แรงขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังร่างกฎหมายฉบับนี้ มาจากกระแสสนับสนุน และการรณรงค์อย่างแข็งขันจากหลายภาคส่วนในสังคมไทย “ภาคประชาชน” ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์ที่มีชื่อเสียง โดดเด่นเป็นแกนนำในการผลักดัน โดยเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายรองรับ ความเท่าเทียมในการสมรสอย่างรวดเร็ว พวกเขาเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า การรับรองสิทธิ์สมรสเพศเดียวกัน ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องความเท่าเทียมเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคม และส่งเสริมความเท่าเทียมในทุกมิติของชีวิต
เวทีการอภิปรายล่าสุดที่จัดโดย คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก, เยาวชน, สตรี, ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ร่วมกับคณะผู้เสนอร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ฉบับประชาชน และศูนย์วิชาการเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จัดเวทีเสวนา “หลักนิติธรรมกับการคุ้มครองสิทธิในการจัดตั้งครอบครัว” เกี่ยวกับสิทธิในการจัดตั้งครอบครัวของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ
รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้เน้นย้ำถึงความซับซ้อน และประเด็นละเอียดอ่อนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับร่างกฎหมายฉบับนี้ ประเด็นสำคัญที่หารือกัน รวมถึงการนิยามคำว่า “ครอบครัว” ให้ครอบคลุมความสัมพันธ์ที่หลากหลาย และการรับรองสิทธิ์การเข้าถึงเทคโนโลยีการช่วยการสืบพันธุ์อย่างเท่าเทียมกันสำหรับคู่สมรสทุกคู่ โดยไม่คำนึงถึงอัตลักษณ์ทางเพศ
คุณวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ประธานกรรมาธิการการพัฒนาสังคมฯ วุฒิสภา กล่าวแสดงความคาดหวังอย่างระมัดระวังต่อแนวโน้มของร่างกฎหมาย ท่านเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการผลักดัน เนื่องด้วยวาระการดำรงตำแหน่งของรัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุด คุณวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ให้ความสำคัญกับการรับรองร่างโดยสภาผู้แทนราษฎรก่อนจะมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อรักษาแรงกระตุ้นในการขับเคลื่อนความเท่าเทียม
ถึงแม้จะมีความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง สำหรับบางมาตราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องครอบครัว ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน แต่ภาคประชาชนเพื่อสังคม และการพัฒนายังคงยืนหยัดในจุดยืน ที่จะผลักดันร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่สะท้อนความต้องการ และความมุ่งหวังที่หลากหลายของประชาชนทุกคน
คุณอนุพร อรุณรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำ กมธ.การพัฒนาสังคมฯ วุฒิสภา ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริม การมีบทสนทนาในสังคมวงกว้างมากขึ้น เกี่ยวกับความเท่าเทียมในการสมรส คุณอนุพรให้ความสำคัญกับบทบาทของการศึกษา และกิจกรรมรณรงค์ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด และส่งเสริมความเข้าใจอันดีในหมู่ประชาชนทั่วไป
นอกเหนือจากความพยายามในการรณรงค์แล้ว ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ยังได้นำเสนอมุมมองที่มีค่าต่อการสนทนาที่กำลังดำเนินอยู่ อันได้แก่ ด้านจิตเวชเด็ก ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร คลินิกเพศหลากหลาย โรงพยาบาลรามาธิบดี เน้นย้ำถึงคุณค่าของสังคมในการยอมรับโครงสร้างครอบครัวที่หลากหลาย เพื่อสร้างสังคมที่เปิดกว้าง และเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น ในด้านกฎหมาย คุณนาดา ไชยจิตต์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เน้นย้ำถึงบทบาทที่ขาดไม่ได้ ของกฎหมายในการกำหนดสิทธิพื้นฐานของมนุษย์สำหรับทุกคน
เมื่อประเทศไทยใกล้ที่จะบรรลุในเรื่อง กฎหมายสมรสเท่าเทียม สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ จะยึดมั่นในหลักการของความเป็นธรรม ความยุติธรรม และความเคารพต่อทุกคน ด้วยการสนับสนุนอย่างไม่หยุดยั้งจากกลุ่มรณรงค์ ผู้เชี่ยวชาญ และประชาชนที่มีส่วนร่วมมากขึ้น มีความหวังอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยจะได้เข้าร่วมกับประเทศต่างๆ ที่ยอมรับความเท่าเทียมในการสมรส ในฐานะรากฐานสำคัญของสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ความสำคัญของร่าง กฎหมายสมรสเท่าเทียม
- ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศหลากหลาย โดยไม่เลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเพศ
- คุ้มครองสิทธิ และหน้าที่ของคู่สมรสอย่างเท่าเทียมกัน
- ช่วยให้บุคคล LGBTQ+ เข้าถึงสวัสดิการ สุขภาพ และสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่นเดียวกับคู่สมรสชายหญิง
- สะท้อนภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะสังคมที่เปิดกว้าง และเคารพความหลากหลายทางเพศ
การผ่านร่างกฎหมายครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะสำคัญของกลุ่ม LGBTQ+ ในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงพลังของภาคประชาสังคม และการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ต่อสู้ เพื่อความเท่าเทียมกันมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายยังต้องผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาอีกขั้น ก่อนที่จะประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
กล่าวโดยสรุป การลงมติร่าง กฎหมายสมรสเท่าเทียม (ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม) ที่กำลังจะเกิดขึ้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเส้นทางของประเทศไทยสู่สังคมที่เท่าเทียม และเปิดกว้างมากขึ้น ขณะที่สายตาทั่วโลกจับจ้องไปที่รัฐสภา เดิมพันครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์นี้ เปิดโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้ประเทศไทยได้ยืนยันเจตจำนงในการส่งเสริมความเท่าเทียม ความหลากหลาย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สำหรับพลเมืองทุกคน โดยไม่คำนึงถึงรสนิยมทางเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ
อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ขอบคุณข้อมูลข่าวจากเว็บไซต์: The Active Thai PBS News
ภาพข่าวจาก: มนธ.เพื่อสิทธิ และความเป็นธรรมทางเพศ (for-sogi)