หลายคนคงมีความสงสัยว่า หากต้องการตรวจสุขภาพก่อนเดินทาง ไปทำงานต่างประเทศ จำเป็นต้อง ตรวจHIV ด้วย หรือไม่? ซึ่งสิ่งนี้ เป็นข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศทุกคน ในเกือบทุกที่ทั่วโลกไม่อาจเลี่ยงได้ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยตรง ไม่ว่าท่านจะเดินทางไปทำงานที่ประเทศไหน การตรวจร่างกาย หรือตรวจสุขภาพก่อนออกเดินทางถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ และเป็นการยืนยันว่ามีคุณมีสุขภาพโดยรวมที่ดี ไม่เป็นโรคต้องห้ามสำหรับบางประเทศ และบางลักษณะงาน อีกทั้งยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคที่อาจมีขึ้นได้ระหว่างที่คุณทำงานในต่างแดนนั่นเอง
ทำไมการตรวจสุขภาพก่อนเดินทางจึงสำคัญ?
การไปทำงาน หรือศึกษาต่อต่างประเทศ ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของหลาย ๆ คน เพราะเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง รายได้ที่สูงขึ้น และเปิดประสบการณ์ใหม่ในสังคมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม หนึ่งในสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ “สุขภาพ” เพราะเมื่อคุณอยู่ต่างแดน ระบบสาธารณสุขอาจไม่เหมือนบ้านเรา และการเผชิญกับโรคที่ไม่คาดคิดอาจส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิตและการทำงานโดยตรง
การตรวจสุขภาพก่อนเดินทาง จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเตรียมตัวให้พร้อม โดยเฉพาะในกรณีของผู้ที่เดินทางไปทำงาน การ ตรวจHIV มักเป็นหนึ่งในรายการที่จำเป็นต้องตรวจ เนื่องจากหลายประเทศมีการระบุโรคต้องห้ามไว้ในข้อกำหนดการออกวีซ่าหรือใบอนุญาตทำงาน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง เอเชีย และแอฟริกาบางประเทศ หากผู้สมัครมีผลตรวจ HIV เป็นบวก อาจถูกปฏิเสธวีซ่าหรือไม่สามารถเข้าทำงานในประเทศนั้นได้ นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพยังช่วยให้คุณทราบล่วงหน้าว่า ประเทศที่คุณจะไปนั้นมีข้อกำหนดด้านโรคติดต่อ หรือโรคต้องห้ามอะไรบ้าง เพื่อให้สามารถตรวจและเตรียมตัวได้ตรงจุด ลดโอกาสในการถูกปฏิเสธการเดินทาง หรือมีปัญหาภายหลังจากเดินทางไปแล้ว
การไปทำงานต่างประเทศสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ติดต่อผ่านบริษัทจัดหางานเอกชน ดำเนินการผ่านกรมการจัดหางาน หรือหางานเองโดยตรงกับบริษัทในต่างประเทศ ทุกช่องทางล้วนต้องการเอกสารที่แสดงความพร้อมด้านสุขภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เดินทางมีความสามารถในการทำงาน และไม่เป็นภาระแก่ระบบสาธารณสุขของประเทศปลายทาง สุดท้าย การตรวจ HIV ไม่ใช่แค่เรื่องของเอกสารหรือกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการดูแลตนเองอย่างรอบด้าน หากผลเป็นลบ คุณสามารถวางแผนการใช้ชีวิตและป้องกันตนเองต่อไปได้อย่างมั่นใจ หากผลเป็นบวก คุณก็จะได้เข้าสู่กระบวนการดูแลรักษาที่ทันเวลา และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
ไปทำงานต่างประเทศ ต้องตรวจอะไรบ้าง?
ก่อนจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ไม่ว่าจะผ่านการจัดส่งจากกรมการจัดหางาน บริษัทจัดหางานเอกชน หรือแม้กระทั่งการหางานด้วยตนเอง ผู้เดินทางจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพตามข้อกำหนดที่ระบุไว้โดยประเทศปลายทาง โดยการตรวจเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อคัดกรองโรคที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้เดินทาง และป้องกันการแพร่กระจายของโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชนในประเทศนั้น ๆ
ขั้นตอนการตรวจสุขภาพจะคล้ายกับการตรวจร่างกายทั่วไป โดยประกอบด้วย:
- การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง
- การวัดความดันโลหิต
- การตรวจวัดสายตา
- การตรวจเลือด
- การตรวจปัสสาวะและอุจจาระ
- การเอกซเรย์ปอด
- การซักประวัติสุขภาพโดยแพทย์
- การคัดกรองโรคติดต่อโดยเฉพาะ
โรคที่มักจะต้องตรวจเพื่อคัดกรองอย่างเข้มงวด ได้แก่:
- โรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ เช่น วัณโรคปอด (เฉพาะในระยะแพร่กระจาย), โรคปอดเรื้อรัง
- โรคติดเชื้อเรื้อรัง เช่น โรคเรื้อน เท้าช้าง และพยาธิบางชนิด
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคซิฟิลิส และโรคเอชไอวี (HIV)
- โรคที่มีข้อห้ามเฉพาะในบางประเทศ เช่น ไวรัสตับอักเสบ B หรือ C
สำหรับประเทศที่มีข้อกำหนดเฉพาะ อาจต้องขอใบรับรองแพทย์ (Medical Certificate) ที่ระบุผลตรวจของโรคเหล่านี้โดยละเอียด และในบางกรณีอาจต้องใช้ใบรับรองจากสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข หรือจากสถานทูตของประเทศปลายทางเท่านั้น นอกจากจะเป็นขั้นตอนที่จำเป็นตามกฎหมายแล้ว การตรวจสุขภาพก่อนเดินทางยังช่วยให้ผู้เดินทางมั่นใจว่าไม่มีโรคแอบแฝงที่อาจส่งผลต่อการทำงาน การใช้ชีวิต หรือการได้รับการรักษาในต่างแดน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงและยุ่งยากกว่าการดูแลรักษาในประเทศของตนเอง
ตรวจHIV จำเป็นหรือไม่?
การตรวจ HIV เป็นหนึ่งในการตรวจสุขภาพที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และอาจไม่จำเป็นหากไม่มีอาการ แต่สำหรับผู้ที่วางแผนจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ การตรวจ HIV กลับกลายเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะในหลายประเทศ HIV ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรคต้องห้าม และเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาว่าผู้เดินทางสามารถเข้าประเทศหรือได้รับอนุญาตให้ทำงานหรือไม่
HIV เป็นโรคต้องห้ามในบางประเทศ
แม้ว่าหลายประเทศในปัจจุบันจะมีแนวโน้มเปิดกว้างและลดการตีตราผู้มีเชื้อ HIV มากขึ้น แต่ก็ยังมีประเทศจำนวนไม่น้อยที่ระบุชัดเจนว่า ผู้ที่มีผลเลือดเป็นบวก ไม่สามารถขอวีซ่าแรงงาน หรือเข้าไปอาศัยอยู่ในระยะยาวได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต กาตาร์ และบาห์เรน รวมถึงบางประเทศในเอเชียและแอฟริกา ประเทศเหล่านี้มองว่าโรคติดเชื้อ เช่น HIV หรือวัณโรค เป็นภัยคุกคามต่อระบบสาธารณสุข และการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นเรื่องจำเป็นในเชิงนโยบายรัฐ จึงใช้การตรวจสุขภาพและการปฏิเสธวีซ่าเป็นเครื่องมือในการป้องกัน
กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างชาติ
การตรวจ HIV ก่อนเดินทางไม่ได้เกิดขึ้นโดยสมัครใจเท่านั้น แต่ยังเป็น ข้อบังคับตามกฎหมาย ของหลายประเทศที่รับแรงงานต่างชาติ โดยประเทศเหล่านี้จะระบุไว้ในคู่มือการขอวีซ่า หรือแบบฟอร์มสุขภาพที่ต้องแนบไปกับใบสมัคร ซึ่งระบุชัดเจนว่าผู้สมัครต้องแนบผลการตรวจ HIV ร่วมด้วย นอกจากนี้ ทาง กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ก็มีการออกระเบียบให้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อไปทำงานต่างประเทศเข้ารับการตรวจสุขภาพและตรวจเลือด ซึ่งรวมถึงการตรวจหาเชื้อเอชไอวี เพื่อคัดกรองเบื้องต้นก่อนอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศได้จริง
ถ้าไม่ ตรวจHIV จะมีผลอย่างไรต่อการเดินทาง?
หากไม่เข้ารับการตรวจ HIV หรือปฏิเสธที่จะเปิดเผยผลการตรวจตามที่ระบุในเอกสารของประเทศปลายทาง อาจนำไปสู่ การถูกปฏิเสธวีซ่า หรือถูกยกเลิกสัญญาจ้างงาน ได้โดยทันที แม้ในบางกรณีคุณจะได้รับการตอบรับจากนายจ้างแล้วก็ตาม และหากผู้เดินทางพยายามปกปิดผลการตรวจ หรือใช้เอกสารปลอม อาจเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายที่ร้ายแรง เช่น การถูกส่งกลับประเทศ หรือขึ้นบัญชีดำไม่ให้กลับเข้าประเทศนั้นอีก ในทางกลับกัน การรู้ผลตรวจล่วงหน้า ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยก่อนเดินทาง และสามารถวางแผนการใช้ชีวิตและทำงานในประเทศที่ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสถานะสุขภาพดังกล่าวได้อย่างมีคุณภาพ
การฉีดวัคซีน ทางเลือกช่วยป้องกันโรคต้องห้ามในแต่ละประเทศ
การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ไม่ได้จำกัดแค่การตรวจสุขภาพทั่วไปหรือการตรวจ HIV เท่านั้น แต่การ “ฉีดวัคซีน” ก็เป็นอีกขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดของบางประเทศที่มีโรคประจำถิ่นหรือโรคต้องห้าม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น ประเทศไต้หวัน ซึ่งมีข้อกำหนดให้แรงงานต่างชาติต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม (MMR) พร้อมทั้งรับยาถ่ายพยาธิ ก่อนเดินทางเข้าไปทำงาน เพื่อป้องกันการระบาดของโรคที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายในชุมชนและสถานประกอบการ โดยทั่วไป วัคซีนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้:
- วัคซีนที่จำเป็นต้องได้รับก่อนการเดินทาง (Required Vaccine) เป็นวัคซีนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations: IHR) เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรคร้ายแรงข้ามพรมแดน โดยในปัจจุบันมีวัคซีนหลักเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในข้อนี้ คือ:
- วัคซีนไข้เหลือง (Yellow Fever Vaccine): ผู้ที่มีแผนเดินทางไปยังประเทศในแถบ แอฟริกา และ อเมริกาใต้ จำเป็นต้องได้รับวัคซีนไข้เหลืองก่อนการเดินทางอย่างน้อย 10 วัน พร้อมแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีน (Yellow Card) ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
- วัคซีนที่แนะนำให้ใช้ในผู้เดินทางตามความเหมาะสม (Recommended Vaccine for Travelers) วัคซีนกลุ่มนี้แม้จะไม่บังคับโดยกฎหมายระหว่างประเทศ แต่แพทย์จะแนะนำให้ฉีดตาม ความเสี่ยงเฉพาะบุคคล และ สถานการณ์ของประเทศปลายทาง โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น:
- ประเทศที่เดินทางไปมีโรคอะไรระบาดอยู่?
- ต้องอยู่ในพื้นที่ชนบทหรือแหล่งชุมชนหนาแน่นหรือไม่?
- ลักษณะของงาน เช่น ทำงานฟาร์ม ทำงานโรงงาน หรือดูแลผู้สูงอายุ
- ระยะเวลาที่พำนักอยู่ในประเทศนั้นนานแค่ไหน?
- สภาพร่างกายของผู้เดินทางมีโรคประจำตัวหรือภูมิคุ้มกันต่ำหรือไม่?
- ตัวอย่างวัคซีนที่แนะนำ:
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบ A และ B
- วัคซีนไข้ไทฟอยด์
- วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
- วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)
- วัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningococcal Vaccine)
- วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (dTAP)
เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการตรวจสุขภาพไปต่างประเทศ
การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างรวดเร็วและถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องขอใบรับรองแพทย์เพื่อใช้ประกอบการยื่นวีซ่า หรือดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการจัดหางาน หรือสถานทูตของประเทศปลายทาง เอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้:
รายการเอกสาร/ข้อมูล | รายละเอียดเพิ่มเติม |
---|---|
สำเนาบัตรประชาชน | จำนวน 1 ใบ พร้อมเขียนข้อมูลเพิ่มเติม ได้แก่:
|
สำเนาหนังสือเดินทาง (Passport) | จำนวน 1 ใบ เพื่อใช้ยืนยันตัวตน และหมายเลขหนังสือเดินทาง |
รูปถ่ายขนาด 1.5 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว | จำนวน 2 ใบ (สีหรือขาวดำก็ได้) หากต้องการใบรับรองแพทย์มากกว่า 1 ชุด ให้เตรียมเพิ่ม 1 ใบ/ชุด |
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ต้องกรอก | เขียนลงในสำเนาบัตรประชาชนให้ชัดเจน ได้แก่:
|
ราคาค่าตรวจสุขภาพ ตรวจHIV ไปทำงานต่างประเทศ
โปรแกรมตรวจสุขภาพไปทำงานต่างประเทศ จะมีราคาตั้ง แต่ 500-1,500 บาท ขึ้นอยู่กับรายละเอียดโปรแกรมตรวจสุขภาพของแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น
ประเทศ | รายการละเอียดการตรวจ | ราคา (บาท) |
---|---|---|
ยุโรป |
|
850 |
สหรัฐอเมริกา |
|
560 |
เกาหลี |
|
1500 |
รวมโรคต้องห้ามในการทำงานแต่ละประเทศ
คุณควรที่จะต้องศึกษาก่อนว่า ประเทศที่สนใจจะเดินทางไปมีโรคต้องห้ามใดๆ อยู่ หรือไม่ เพื่อที่จะได้ตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้ตรงกับโรคที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงของประเทศนั้นๆ
ประเทศไต้หวัน (Taiwan)
- กามโรค (ซิฟิลิส) รวมถึงได้รับการรักษาแล้ว ผล TPHA บวก
- วัณโรค รวมถึงกรณีปอดเป็นจุด ปอดผิดปกติมีแผลเป็นเนื่องจากเคยเป็น และรักษาหายแล้ว
- พยาธิ (ยกเว้นพยาธิในลำไส้จะอนุญาตให้อยู่รักษาในไต้หวันภายในเวลา 1 เดือน)
- โรคเรื้อน
ประเทศฮ่องกง (Hongkong)
- กามโรค (ยกเว้นได้รับการรักษาแล้ว)
- วัณโรค
- ไวรัสตับอักเสบ B และ C
- โรคเอดส์ (HIV)
- โรคพยาธิ
- การตั้งครรภ์
- โรคอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง
เกาะไซปัน (Saipan)
- โรคเอดส์ (HIV)
- วัณโรค
- โรคติดต่อร้ายแรงอื่นๆ
ประเทศซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia), สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates), ประเทศกาตาร์ (Qatar), ประเทศโอมาน (Oman), ประเทศคูเวต (Kuwait) และประเทศบาห์เรน (Bahrain)
กลุ่มโรคติดต่อ
- โรคเอดส์ (HIV)
- โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
- โรคมาเลเรีย
- โรคเรื้อน
- วัณโรค, ฝีในปอด
- กามโรค เช่น ซิฟิลิส
กลุ่มโรคไม่ติดต่อ
- โรคไตเรื้อรัง
- โรคตับเรื้อรัง
- โรคหัวใจ
- โรคเครียด
- โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้
- โรคมะเร็ง
- โรคจิต, วิกลจริต
- พิการอื่นๆ เช่น ตาบอดสี (สำหรับตำแหน่งพนักงานขับรถ) หูหนวก เป็นต้น
- การตั้งครรภ์ (จะต้องมีการตรวจร่างกายคนงานหญิงทุกคนที่จะเข้าไปทำงาน)
ประเทศลิเบีย (Libya)
- โรคซิฟิลิส ตรวจโดย VDRL
- ตรวจHIV (HIV)
- การตรวจอุจจาระ โดยวิธี Stool RIB
- การตรวจปัสสาวะ (Urine)
- วัณโรค
- โรคไวรัสตับอักเสบทุกประเภท (Hepatitis Virus)
ประเทศสิงค์โปร์ (Singapore)
- กามโรค (ยกเว้นได้รับการรักษาแล้ว)
- วัณโรคปอด
- โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
- โรคเอดส์ (HIV)
ประเทศกรีซ (Greece)
- โรคเอดส์ (HIV)
- อหิวาตกโรค (Cholera)
- โรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น (Malaria)
ประเทศอิสราเอล (Israel)
- วัณโรค
- โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
- โรคซิฟิลิส
- กามโรค
- โรคเอดส์ (HIV)
- โรคตาบอดสี
ประเทศญี่ปุ่น (Japan)
- โรคระบาด และโรคติดต่อ
- โรคไข้เลือดออกอีโบล่า (Ebola hemorrhagic fever)
- โรคไข้เลือดออกไครเมียน – คองโก Crimean-Congo haemorrhagic fever (CCHF)
- โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever)
- กาฬโรค (Plague)
- โรคมาร์บูร์ก (Marburg virus disease)
- โรคไข้ลัสสา (Lassa virus)
- อหิวาตกโรค (Cholera)
- โรคซาร์ล (Sars)
- โรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ (Smallpox)
- โรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น (Malaria)
- โรคไข้เหลือง (Yellow fever)
- มีปัญหาสุขภาพจิต
ประเทศเกาหลี (Korea)
- โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
- โรคเอดส์ (HIV)
- กามโรค เช่น ซิฟิลิส
- วัณโรค
- กระดูกสันหลังคด, นิ้วมือนิ้วเท้าขาด, กระดูกแขนขาโก่ง
- โรคหัวใจทุกชนิด
- โรคคุดทะราด (Treponema pertenue)
- โรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไต
- โรคตับ
- โรคประสาท (Psychiatric IIness)
- โรคตาบอดสี, สายตาสั้น (ต้องไม่เกิน 400)
- โรคหูตึง
- โรคเลือด
ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)
- โรคเอดส์ (HIV)
- วัณโรค
- โรคเรื้อน
- กามโรค
- โรคลมบ้าหมู ลมชัก (Epilepsy)
- โรคประสาท (Psychiatric IIness)
- โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
- ผลการตรวจHIV พบ HIV Antibody (Elisa), HbsAg หรือ VDRL/TPHA
- ติดยาเสพติด (Opiates/Cannabis)
- การตั้งครรภ์ (จะต้องมีการตรวจร่างกายคนงานหญิงทุกคนที่จะเข้าไปทำงาน)
ประเทศบรูไน (Brunei)
- วัณโรค
- กามโรค
- โรคเอดส์ (HIV)
- โรคลมบ้าหมู ลมชัก (Epilepsy)
- โรคประสาท (Psychiatric IIness)
- โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
- การใช้ยาเกินขนาด เพื่อกระทำอัตวินิบาตกรรม (History of drug abuse)
- โรคความดันสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคหอบหืด
- โรคมะเร็ง
- โรคหัวใจ
ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย
- ตรวจHIV
- วัณโรค
- โรคเรื้อน
- โรคซิฟิลิส
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- ความเชื่อที่ผิด ๆ เกี่ยวกับเอชไอวีและโรคเอดส์
- การสนับสนุนผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV และการป้องกันการติดเชื้อใหม่
สถานที่ตรวจสุขภาพก่อนไปทำงานต่างประเทศ
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยถือเป็น 1 ใน 4 สถานพยาบาลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับการอนุมัติให้สามารถตรวจสุขภาพ และออกใบรับรองการตรวจสุขภาพได้ทุกประเทศทั่วโลก จึงสามารถให้บริการได้อย่างครอบคลุมไม่ว่าท่านจะต้องการเดินทางไปประเทศใดๆ ก็ตาม โดยทางโรงพยาบาลได้จัดตั้งคลินิกตรวจสุขภาพขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ที่มารับบริการได้รับความสะดวก และรวดเร็ว ตั้งอยู่ที่ 1873 ถนนพระรามที่ 4 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 โทร. 02-256-4000
- ศูนย์ตรวจสุขภาพเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
- ศูนย์บริการทางการแพทย์โรงเรียนเรวดี ตั้งอยู่ที่ 108 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400 โทร. 091-774-6463, 064-585-0941 และ 064-585-0940
- ศูนย์ตรวจสุขภาพไปทำงานต่างประเทศ อาคาร 4 ชั้น 2 โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 โทร.02-514-4141 ต่อ 2312, 2315
กล่าวโดยสรุป โรคต้องห้ามในการทำงานของแต่ละประเทศนั้น มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะงาน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน โดยทั่วไปแล้ว โรคต้องห้ามในการทำงานมักเป็นโรคติดต่อ หรือโรคเรื้อรังที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นได้ นอกจากนี้ ยังมีบางประเทศที่มีกฎหมายกำหนดให้พนักงานต้องตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจหาโรคต้องห้ามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นด้วย โดยทั่วไปแล้ว การตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน จะดำเนินการโดยแพทย์ หรือพยาบาล ซึ่งจะพิจารณาเลือกการตรวจที่เหมาะสมกับลักษณะงาน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ปฏิบัติงาน
อ้างอิงข้อมูลจาก:
โรคต้องห้ามของแต่ละประเทศ
- https://www.rama.mahidol.ac.th/goabroad/th/knowledge/13aug2019-1445
ข้อจำกัดการเดินทางสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี
จะไปทำงานต่างประเทศ ต้องตรวจสุขภาพอะไรบ้าง
- https://www.bangkokhospitalkhonkaen.com/th/article/1702018255