ตรวจHIV ก่อนไปทำงานต่างประเทศ จำเป็น หรือไม่ และประเทศไหนบ้าง

ตรวจHIV ก่อนไปทำงานต่างประเทศ จำเป็น หรือไม่ และประเทศไหนบ้าง

หลายคนคงมีความสงสัยว่า หากต้องการตรวจสุขภาพก่อนเดินทาง ไปทำงานต่างประเทศ จำเป็นต้อง ตรวจHIV ด้วย หรือไม่? ซึ่งสิ่งนี้ เป็นข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศทุกคน ในเกือบทุกที่ทั่วโลกไม่อาจเลี่ยงได้ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยตรง ไม่ว่าท่านจะเดินทางไปทำงานที่ประเทศไหน การตรวจร่างกาย หรือตรวจสุขภาพก่อนออกเดินทางถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ และเป็นการยืนยันว่ามีคุณมีสุขภาพโดยรวมที่ดี ไม่เป็นโรคต้องห้ามสำหรับบางประเทศ และบางลักษณะงาน อีกทั้งยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคที่อาจมีขึ้นได้ระหว่างที่คุณทำงานในต่างแดนนั่นเอง

ทำไมการตรวจสุขภาพก่อนเดินทางจึงสำคัญ?

การไปทำงาน หรือศึกษาต่อต่างประเทศ ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของหลาย ๆ คน เพราะเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง รายได้ที่สูงขึ้น และเปิดประสบการณ์ใหม่ในสังคมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม หนึ่งในสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ “สุขภาพ” เพราะเมื่อคุณอยู่ต่างแดน ระบบสาธารณสุขอาจไม่เหมือนบ้านเรา และการเผชิญกับโรคที่ไม่คาดคิดอาจส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิตและการทำงานโดยตรง

Love2Test

ทำไมการตรวจสุขภาพก่อนเดินทางจึงสำคัญ

การตรวจสุขภาพก่อนเดินทาง จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเตรียมตัวให้พร้อม โดยเฉพาะในกรณีของผู้ที่เดินทางไปทำงาน การ ตรวจHIV มักเป็นหนึ่งในรายการที่จำเป็นต้องตรวจ เนื่องจากหลายประเทศมีการระบุโรคต้องห้ามไว้ในข้อกำหนดการออกวีซ่าหรือใบอนุญาตทำงาน โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง เอเชีย และแอฟริกาบางประเทศ หากผู้สมัครมีผลตรวจ HIV เป็นบวก อาจถูกปฏิเสธวีซ่าหรือไม่สามารถเข้าทำงานในประเทศนั้นได้ นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพยังช่วยให้คุณทราบล่วงหน้าว่า ประเทศที่คุณจะไปนั้นมีข้อกำหนดด้านโรคติดต่อ หรือโรคต้องห้ามอะไรบ้าง เพื่อให้สามารถตรวจและเตรียมตัวได้ตรงจุด ลดโอกาสในการถูกปฏิเสธการเดินทาง หรือมีปัญหาภายหลังจากเดินทางไปแล้ว

การไปทำงานต่างประเทศสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ติดต่อผ่านบริษัทจัดหางานเอกชน ดำเนินการผ่านกรมการจัดหางาน หรือหางานเองโดยตรงกับบริษัทในต่างประเทศ ทุกช่องทางล้วนต้องการเอกสารที่แสดงความพร้อมด้านสุขภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เดินทางมีความสามารถในการทำงาน และไม่เป็นภาระแก่ระบบสาธารณสุขของประเทศปลายทาง สุดท้าย การตรวจ HIV ไม่ใช่แค่เรื่องของเอกสารหรือกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการดูแลตนเองอย่างรอบด้าน หากผลเป็นลบ คุณสามารถวางแผนการใช้ชีวิตและป้องกันตนเองต่อไปได้อย่างมั่นใจ หากผลเป็นบวก คุณก็จะได้เข้าสู่กระบวนการดูแลรักษาที่ทันเวลา และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ

ไปทำงานต่างประเทศ ต้องตรวจอะไรบ้าง?

ก่อนจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ ไม่ว่าจะผ่านการจัดส่งจากกรมการจัดหางาน บริษัทจัดหางานเอกชน หรือแม้กระทั่งการหางานด้วยตนเอง ผู้เดินทางจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพตามข้อกำหนดที่ระบุไว้โดยประเทศปลายทาง โดยการตรวจเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อคัดกรองโรคที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้เดินทาง และป้องกันการแพร่กระจายของโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชนในประเทศนั้น ๆ

ขั้นตอนการตรวจสุขภาพจะคล้ายกับการตรวจร่างกายทั่วไป โดยประกอบด้วย:

  • การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง
  • การวัดความดันโลหิต
  • การตรวจวัดสายตา
  • การตรวจเลือด
  • การตรวจปัสสาวะและอุจจาระ
  • การเอกซเรย์ปอด
  • การซักประวัติสุขภาพโดยแพทย์
  • การคัดกรองโรคติดต่อโดยเฉพาะ

โรคที่มักจะต้องตรวจเพื่อคัดกรองอย่างเข้มงวด ได้แก่:

  • โรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ เช่น วัณโรคปอด (เฉพาะในระยะแพร่กระจาย), โรคปอดเรื้อรัง
  • โรคติดเชื้อเรื้อรัง เช่น โรคเรื้อน เท้าช้าง และพยาธิบางชนิด
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคซิฟิลิส และโรคเอชไอวี (HIV)
  • โรคที่มีข้อห้ามเฉพาะในบางประเทศ เช่น ไวรัสตับอักเสบ B หรือ C

สำหรับประเทศที่มีข้อกำหนดเฉพาะ อาจต้องขอใบรับรองแพทย์ (Medical Certificate) ที่ระบุผลตรวจของโรคเหล่านี้โดยละเอียด และในบางกรณีอาจต้องใช้ใบรับรองจากสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข หรือจากสถานทูตของประเทศปลายทางเท่านั้น นอกจากจะเป็นขั้นตอนที่จำเป็นตามกฎหมายแล้ว การตรวจสุขภาพก่อนเดินทางยังช่วยให้ผู้เดินทางมั่นใจว่าไม่มีโรคแอบแฝงที่อาจส่งผลต่อการทำงาน การใช้ชีวิต หรือการได้รับการรักษาในต่างแดน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงและยุ่งยากกว่าการดูแลรักษาในประเทศของตนเอง

ตรวจHIV จำเป็นหรือไม่?

การตรวจ HIV เป็นหนึ่งในการตรวจสุขภาพที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และอาจไม่จำเป็นหากไม่มีอาการ แต่สำหรับผู้ที่วางแผนจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ การตรวจ HIV กลับกลายเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะในหลายประเทศ HIV ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรคต้องห้าม และเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาว่าผู้เดินทางสามารถเข้าประเทศหรือได้รับอนุญาตให้ทำงานหรือไม่

HIV เป็นโรคต้องห้ามในบางประเทศ

แม้ว่าหลายประเทศในปัจจุบันจะมีแนวโน้มเปิดกว้างและลดการตีตราผู้มีเชื้อ HIV มากขึ้น แต่ก็ยังมีประเทศจำนวนไม่น้อยที่ระบุชัดเจนว่า ผู้ที่มีผลเลือดเป็นบวก ไม่สามารถขอวีซ่าแรงงาน หรือเข้าไปอาศัยอยู่ในระยะยาวได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต กาตาร์ และบาห์เรน รวมถึงบางประเทศในเอเชียและแอฟริกา ประเทศเหล่านี้มองว่าโรคติดเชื้อ เช่น HIV หรือวัณโรค เป็นภัยคุกคามต่อระบบสาธารณสุข และการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นเรื่องจำเป็นในเชิงนโยบายรัฐ จึงใช้การตรวจสุขภาพและการปฏิเสธวีซ่าเป็นเครื่องมือในการป้องกัน

กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างชาติ

การตรวจ HIV ก่อนเดินทางไม่ได้เกิดขึ้นโดยสมัครใจเท่านั้น แต่ยังเป็น ข้อบังคับตามกฎหมาย ของหลายประเทศที่รับแรงงานต่างชาติ โดยประเทศเหล่านี้จะระบุไว้ในคู่มือการขอวีซ่า หรือแบบฟอร์มสุขภาพที่ต้องแนบไปกับใบสมัคร ซึ่งระบุชัดเจนว่าผู้สมัครต้องแนบผลการตรวจ HIV ร่วมด้วย นอกจากนี้ ทาง กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ก็มีการออกระเบียบให้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อไปทำงานต่างประเทศเข้ารับการตรวจสุขภาพและตรวจเลือด ซึ่งรวมถึงการตรวจหาเชื้อเอชไอวี เพื่อคัดกรองเบื้องต้นก่อนอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศได้จริง

ถ้าไม่ ตรวจHIV จะมีผลอย่างไรต่อการเดินทาง?

หากไม่เข้ารับการตรวจ HIV หรือปฏิเสธที่จะเปิดเผยผลการตรวจตามที่ระบุในเอกสารของประเทศปลายทาง อาจนำไปสู่ การถูกปฏิเสธวีซ่า หรือถูกยกเลิกสัญญาจ้างงาน ได้โดยทันที แม้ในบางกรณีคุณจะได้รับการตอบรับจากนายจ้างแล้วก็ตาม และหากผู้เดินทางพยายามปกปิดผลการตรวจ หรือใช้เอกสารปลอม อาจเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายที่ร้ายแรง เช่น การถูกส่งกลับประเทศ หรือขึ้นบัญชีดำไม่ให้กลับเข้าประเทศนั้นอีก ในทางกลับกัน การรู้ผลตรวจล่วงหน้า ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยก่อนเดินทาง และสามารถวางแผนการใช้ชีวิตและทำงานในประเทศที่ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสถานะสุขภาพดังกล่าวได้อย่างมีคุณภาพ

การฉีดวัคซีน ทางเลือกช่วยป้องกันโรคต้องห้ามในแต่ละประเทศ

การฉีดวัคซีน ทางเลือกช่วยป้องกันโรคต้องห้ามในแต่ละประเทศ

การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ไม่ได้จำกัดแค่การตรวจสุขภาพทั่วไปหรือการตรวจ HIV เท่านั้น แต่การ “ฉีดวัคซีน” ก็เป็นอีกขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดของบางประเทศที่มีโรคประจำถิ่นหรือโรคต้องห้าม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น ประเทศไต้หวัน ซึ่งมีข้อกำหนดให้แรงงานต่างชาติต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม (MMR) พร้อมทั้งรับยาถ่ายพยาธิ ก่อนเดินทางเข้าไปทำงาน เพื่อป้องกันการระบาดของโรคที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายในชุมชนและสถานประกอบการ โดยทั่วไป วัคซีนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้:

  • วัคซีนที่จำเป็นต้องได้รับก่อนการเดินทาง (Required Vaccine) เป็นวัคซีนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations: IHR) เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรคร้ายแรงข้ามพรมแดน โดยในปัจจุบันมีวัคซีนหลักเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในข้อนี้ คือ:
    • วัคซีนไข้เหลือง (Yellow Fever Vaccine): ผู้ที่มีแผนเดินทางไปยังประเทศในแถบ แอฟริกา และ อเมริกาใต้ จำเป็นต้องได้รับวัคซีนไข้เหลืองก่อนการเดินทางอย่างน้อย 10 วัน พร้อมแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีน (Yellow Card) ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
  • วัคซีนที่แนะนำให้ใช้ในผู้เดินทางตามความเหมาะสม (Recommended Vaccine for Travelers) วัคซีนกลุ่มนี้แม้จะไม่บังคับโดยกฎหมายระหว่างประเทศ แต่แพทย์จะแนะนำให้ฉีดตาม ความเสี่ยงเฉพาะบุคคล และ สถานการณ์ของประเทศปลายทาง โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น:
    • ประเทศที่เดินทางไปมีโรคอะไรระบาดอยู่?
    • ต้องอยู่ในพื้นที่ชนบทหรือแหล่งชุมชนหนาแน่นหรือไม่?
    • ลักษณะของงาน เช่น ทำงานฟาร์ม ทำงานโรงงาน หรือดูแลผู้สูงอายุ
    • ระยะเวลาที่พำนักอยู่ในประเทศนั้นนานแค่ไหน?
    • สภาพร่างกายของผู้เดินทางมีโรคประจำตัวหรือภูมิคุ้มกันต่ำหรือไม่?
  • ตัวอย่างวัคซีนที่แนะนำ:
    • วัคซีนไวรัสตับอักเสบ A และ B
    • วัคซีนไข้ไทฟอยด์
    • วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
    • วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)
    • วัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningococcal Vaccine)
    • วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (dTAP)

เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการตรวจสุขภาพไปต่างประเทศ

การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างรวดเร็วและถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องขอใบรับรองแพทย์เพื่อใช้ประกอบการยื่นวีซ่า หรือดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการจัดหางาน หรือสถานทูตของประเทศปลายทาง เอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้:

รายการเอกสาร/ข้อมูล รายละเอียดเพิ่มเติม
สำเนาบัตรประชาชน จำนวน 1 ใบ พร้อมเขียนข้อมูลเพิ่มเติม ได้แก่:

  • ประเทศที่จะไปทำงาน
  • เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้
  • ชื่อบริษัทหรือนายจ้าง
สำเนาหนังสือเดินทาง (Passport) จำนวน 1 ใบ เพื่อใช้ยืนยันตัวตน และหมายเลขหนังสือเดินทาง
รูปถ่ายขนาด 1.5 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (สีหรือขาวดำก็ได้) หากต้องการใบรับรองแพทย์มากกว่า 1 ชุด ให้เตรียมเพิ่ม 1 ใบ/ชุด
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ต้องกรอก เขียนลงในสำเนาบัตรประชาชนให้ชัดเจน ได้แก่:

  • ประเทศปลายทาง
  • เบอร์โทรศัพท์
  • ชื่อบริษัทที่รับทำงาน

ราคาค่าตรวจสุขภาพ ตรวจHIV ไปทำงานต่างประเทศ

โปรแกรมตรวจสุขภาพไปทำงานต่างประเทศ จะมีราคาตั้ง แต่ 500-1,500 บาท ขึ้นอยู่กับรายละเอียดโปรแกรมตรวจสุขภาพของแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น

ประเทศ รายการละเอียดการตรวจ ราคา (บาท)
ยุโรป
  1. CBC (ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด)
  2. UA (ตรวจปัสสาวะทั่วไป)
  3. STOOL (ตรวจอุจจาระ)
  4. VDRL (ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส)
  5. HIV ( ตรวจHIV)
  6. CXR (เอกซเรย์ปอด)
  7. ตรวจร่างกายโดยแพทย์
850
สหรัฐอเมริกา
  1. CBC (ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด)
  2. UA (ตรวจปัสสาวะทั่วไป)
  3. STOOL (ตรวจอุจจาระ)
  4. VDRL (ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส)
  5. CXR (เอกซเรย์ปอด)
  6. ตรวจร่างกายโดยแพทย์
560
เกาหลี
  1. CBC (ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด)
  2. Blood group , RH (หมู่เลือด)
  3. MALARIA (ตรวจหาเชื้อมาลาเลีย)
  4. UA (ตรวจปัสสาวะทั่วไป)
  5. STOOL (ตรวจอุจจาระ)
  6. HBsAg (ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี)
  7. VDRL,TPHA (ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส)
  8. CXR (เอกซเรย์ปอด)
  9. CHO (ตรวจไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด)
  10. SGOT,SGPT,GGT (ตรวจการทำงานของตับ)
  11. FBS (ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด)
  12. ตรวจการได้ยิน
  13. วัดสายตา ตรวจตาบอดสี
  14. Pregnancy Test ตรวจปัสสาวะหาการตั้งครรภ์ (ผู้หญิง)
  15. ตรวจร่างกายโดยแพทย์
1500

ถ้าไม่ ตรวจHIV จะมีผลอย่างไรต่อการเดินทาง

รวมโรคต้องห้ามในการทำงานแต่ละประเทศ

คุณควรที่จะต้องศึกษาก่อนว่า ประเทศที่สนใจจะเดินทางไปมีโรคต้องห้ามใดๆ อยู่ หรือไม่ เพื่อที่จะได้ตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้ตรงกับโรคที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงของประเทศนั้นๆ

ประเทศไต้หวัน (Taiwan)

  • กามโรค (ซิฟิลิส) รวมถึงได้รับการรักษาแล้ว ผล TPHA บวก
  • วัณโรค รวมถึงกรณีปอดเป็นจุด ปอดผิดปกติมีแผลเป็นเนื่องจากเคยเป็น และรักษาหายแล้ว
  • พยาธิ (ยกเว้นพยาธิในลำไส้จะอนุญาตให้อยู่รักษาในไต้หวันภายในเวลา 1 เดือน)
  • โรคเรื้อน

ประเทศฮ่องกง (Hongkong)

  • กามโรค (ยกเว้นได้รับการรักษาแล้ว)
  • วัณโรค
  • ไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • โรคเอดส์ (HIV)
  • โรคพยาธิ
  • การตั้งครรภ์
  • โรคอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง

เกาะไซปัน (Saipan)

  • โรคเอดส์ (HIV)
  • วัณโรค
  • โรคติดต่อร้ายแรงอื่นๆ

ประเทศซาอุดีอาระเบีย (Saudi Arabia), สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates), ประเทศกาตาร์ (Qatar), ประเทศโอมาน (Oman), ประเทศคูเวต (Kuwait) และประเทศบาห์เรน (Bahrain)

กลุ่มโรคติดต่อ

  • โรคเอดส์ (HIV)
  • โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • โรคมาเลเรีย
  • โรคเรื้อน
  • วัณโรค, ฝีในปอด
  • กามโรค เช่น ซิฟิลิส

กลุ่มโรคไม่ติดต่อ

  • โรคไตเรื้อรัง
  • โรคตับเรื้อรัง
  • โรคหัวใจ
  • โรคเครียด
  • โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้
  • โรคมะเร็ง
  • โรคจิต, วิกลจริต
  • พิการอื่นๆ เช่น ตาบอดสี (สำหรับตำแหน่งพนักงานขับรถ) หูหนวก เป็นต้น
  • การตั้งครรภ์ (จะต้องมีการตรวจร่างกายคนงานหญิงทุกคนที่จะเข้าไปทำงาน)

ประเทศลิเบีย (Libya)

  • โรคซิฟิลิส ตรวจโดย VDRL
  • ตรวจHIV (HIV)
  • การตรวจอุจจาระ โดยวิธี Stool RIB
  • การตรวจปัสสาวะ (Urine)
  • วัณโรค
  • โรคไวรัสตับอักเสบทุกประเภท (Hepatitis Virus)

ประเทศสิงค์โปร์ (Singapore)

  • กามโรค (ยกเว้นได้รับการรักษาแล้ว)
  • วัณโรคปอด
  • โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • โรคเอดส์ (HIV)

ประเทศกรีซ (Greece)

  • โรคเอดส์ (HIV)
  • อหิวาตกโรค (Cholera)
  • โรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น (Malaria)

ประเทศอิสราเอล (Israel)

  • วัณโรค
  • โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • โรคซิฟิลิส
  • กามโรค
  • โรคเอดส์ (HIV)
  • โรคตาบอดสี

ประเทศญี่ปุ่น (Japan)

  • โรคระบาด และโรคติดต่อ
  • โรคไข้เลือดออกอีโบล่า (Ebola hemorrhagic fever)
  • โรคไข้เลือดออกไครเมียน – คองโก Crimean-Congo haemorrhagic fever (CCHF)
  • โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever)
  • กาฬโรค (Plague)
  • โรคมาร์บูร์ก (Marburg virus disease)
  • โรคไข้ลัสสา (Lassa virus)
  • อหิวาตกโรค (Cholera)
  • โรคซาร์ล (Sars)
  • โรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ (Smallpox)
  • โรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น (Malaria)
  • โรคไข้เหลือง (Yellow fever)
  • มีปัญหาสุขภาพจิต

ประเทศเกาหลี (Korea)

  • โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • โรคเอดส์ (HIV)
  • กามโรค เช่น ซิฟิลิส
  • วัณโรค
  • กระดูกสันหลังคด, นิ้วมือนิ้วเท้าขาด, กระดูกแขนขาโก่ง
  • โรคหัวใจทุกชนิด
  • โรคคุดทะราด (Treponema pertenue)
  • โรคเบาหวาน
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคไต
  • โรคตับ
  • โรคประสาท (Psychiatric IIness)
  • โรคตาบอดสี, สายตาสั้น (ต้องไม่เกิน 400)
  • โรคหูตึง
  • โรคเลือด

ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)

  • โรคเอดส์ (HIV)
  • วัณโรค
  • โรคเรื้อน
  • กามโรค
  • โรคลมบ้าหมู ลมชัก (Epilepsy)
  • โรคประสาท (Psychiatric IIness)
  • โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • ผลการตรวจHIV พบ HIV Antibody (Elisa), HbsAg หรือ VDRL/TPHA
  • ติดยาเสพติด (Opiates/Cannabis)
  • การตั้งครรภ์ (จะต้องมีการตรวจร่างกายคนงานหญิงทุกคนที่จะเข้าไปทำงาน)

ประเทศบรูไน (Brunei)

  • วัณโรค
  • กามโรค
  • โรคเอดส์ (HIV)
  • โรคลมบ้าหมู ลมชัก (Epilepsy)
  • โรคประสาท (Psychiatric IIness)
  • โรคไวรัสตับอักเสบ B และ C
  • การใช้ยาเกินขนาด เพื่อกระทำอัตวินิบาตกรรม (History of drug abuse)
  • โรคความดันสูง
  • โรคเบาหวาน
  • โรคหอบหืด
  • โรคมะเร็ง
  • โรคหัวใจ

ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย

  • ตรวจHIV
  • วัณโรค
  • โรคเรื้อน
  • โรคซิฟิลิส

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สถานที่ตรวจสุขภาพก่อนไปทำงานต่างประเทศ

  • โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยถือเป็น 1 ใน 4 สถานพยาบาลในกรุงเทพฯ ที่ได้รับการอนุมัติให้สามารถตรวจสุขภาพ และออกใบรับรองการตรวจสุขภาพได้ทุกประเทศทั่วโลก จึงสามารถให้บริการได้อย่างครอบคลุมไม่ว่าท่านจะต้องการเดินทางไปประเทศใดๆ ก็ตาม โดยทางโรงพยาบาลได้จัดตั้งคลินิกตรวจสุขภาพขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ที่มารับบริการได้รับความสะดวก และรวดเร็ว ตั้งอยู่ที่ 1873 ถนนพระรามที่ 4 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 โทร. 02-256-4000
  • ศูนย์ตรวจสุขภาพเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ศูนย์บริการทางการแพทย์โรงเรียนเรวดี ตั้งอยู่ที่ 108 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 10400 โทร. 091-774-6463, 064-585-0941 และ 064-585-0940
  • ศูนย์ตรวจสุขภาพไปทำงานต่างประเทศ อาคาร 4 ชั้น 2 โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 โทร.02-514-4141 ต่อ 2312, 2315

สถานที่ตรวจสุขภาพ ก่อนไปทำงานต่างประเทศ

 

กล่าวโดยสรุป โรคต้องห้ามในการทำงานของแต่ละประเทศนั้น มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะงาน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน โดยทั่วไปแล้ว โรคต้องห้ามในการทำงานมักเป็นโรคติดต่อ หรือโรคเรื้อรังที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นได้ นอกจากนี้ ยังมีบางประเทศที่มีกฎหมายกำหนดให้พนักงานต้องตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจหาโรคต้องห้ามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นด้วย โดยทั่วไปแล้ว การตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน จะดำเนินการโดยแพทย์ หรือพยาบาล ซึ่งจะพิจารณาเลือกการตรวจที่เหมาะสมกับลักษณะงาน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ปฏิบัติงาน

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:

โรคต้องห้ามของแต่ละประเทศ

  • https://www.rama.mahidol.ac.th/goabroad/th/knowledge/13aug2019-1445

ข้อจำกัดการเดินทางสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี

จะไปทำงานต่างประเทศ ต้องตรวจสุขภาพอะไรบ้าง

  • https://www.bangkokhospitalkhonkaen.com/th/article/1702018255

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า