โรคฝีดาษวานร (Mpox) เป็นโรคติดต่อที่กำลังได้รับความสนใจทั่วโลก การรู้จักสัญญาณอาการเบื้องต้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการวินิจฉัย และรักษาได้ทันท่วงที บทความนี้จะแนะนำ 7 สัญญาณอาการของโรคฝีดาษวานร ที่อาจบ่งชี้ว่าคุณกำลังติดเชื้อฝีดาษวานร ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้คุณสังเกตอาการผิดปกติ และปรึกษาแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าอาการเหล่านี้อาจคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ ดังนั้นการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ประวัติ และการค้นพบโรคฝีดาษวานร
ประวัติของโรคฝีดาษวานรมีความน่าสนใจ และสำคัญ โรคนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1958 ในกลุ่มลิงที่ใช้ในการวิจัย ณ สถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในเดนมาร์ก จึงได้ชื่อว่า “ฝีดาษวานร” แม้ว่าลิงจะไม่ใช่พาหะหลักของโรค การติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกพบในปี 1970 ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
ในอดีต การระบาดส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในแอฟริกากลาง และตะวันตก โดยมีการระบาดนอกแอฟริกาครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาปี 2003 โรคนี้เกิดจากไวรัสในตระกูลเดียวกับไวรัสฝีดาษ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า เชื่อว่าสัตว์ฟันแทะในแอฟริกาเป็นสาเหตุของการติดต่อจากสัตว์สู่คนในอดีต ในปี 2022 เริ่มมีรายงานการระบาดนอกแอฟริกาอย่างกว้างขวาง พบการแพร่เชื้อจากคนสู่คนมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลในวงกว้าง
การวินิจฉัยโรคฝีดาษวานร
การวินิจฉัยโรคฝีดาษวานรมีขั้นตอนสำคัญดังนี้
1. ประวัติการสัมผัสโรค: แพทย์จะสอบถามประวัติการเดินทาง หรือการสัมผัสกับผู้ป่วยที่สงสัย
2. อาการทางคลินิก: สังเกตอาการไข้ ปวดเมื่อย และผื่นที่ผิวหนัง
3. ตรวจร่างกาย: ตรวจดูลักษณะผื่น และตุ่มน้ำใสบนผิวหนัง
4. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
- เก็บตัวอย่างจากรอยโรคที่ผิวหนัง
- ตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยวิธี PCR
- ตรวจหาแอนติบอดีในเลือด
5. การวินิจฉัยแยกโรค: แยกจากโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน เช่น อีสุกอีใส งูสวัด เป็นต้น
การวินิจฉัยที่ถูกต้องต้องอาศัยการพิจารณาร่วมกันระหว่างประวัติ อาการ และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
7 สัญญาณอาการของโรคฝีดาษวานร มีอะไรบ้าง ?
- มีไข้สูง : สัญญาณอาการสำคัญของฝีดาษวานรมักเริ่มต้นด้วยไข้สูง ซึ่งอาจสูงถึง 38-40 องศาเซลเซียส และคงอยู่ได้นานถึง 3 – 4 วัน บางรายอาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย : ตามมาด้วยอาการปวดเมื่อยตามร่างกายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหลัง และขา ซึ่งอาจรบกวนการเคลื่อนไหว และการทำกิจวัตรประจำวัน
- ปวดศีรษะ : ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะรุนแรงร่วมกับไข้ โดยอาจรู้สึกปวดตุบๆ หรือปวดตื้อๆ ทั่วศีรษะ และอาการอาจแย่ลงเมื่อเคลื่อนไหว หรือสัมผัสแสงสว่าง
- ต่อมน้ำเหลืองโต : ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของฝีดาษวานรคือการมีต่อมน้ำเหลืองโต โดยต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ รักแร้ หรือขาหนีบอาจบวมโต และกดเจ็บ ซึ่งเป็นอาการที่แตกต่างจากโรคฝีดาษทั่วไป ต่อมน้ำเหลืองที่โตอาจมีขนาดตั้งแต่ 1 – 5 เซนติเมตร
- อ่อนเพลีย : ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียมากผิดปกติ อาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
- ผื่นขึ้นตามร่างกาย : หลังจากมีไข้ประมาณ 1-3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นขึ้นตามร่างกาย โดยมักเริ่มที่ใบหน้าก่อน แล้วลามไปยังแขน ขา ฝ่ามือ และฝ่าเท้า บางรายอาจพบผื่นในปาก อวัยวะเพศ หรือตา
- ตุ่มน้ำ และตุ่มหนอง : ผื่นจะเปลี่ยนแปลงจากจุดแดงเป็นตุ่มนูน และพัฒนาเป็นตุ่มน้ำใส และตุ่มหนองในเวลาต่อมา ตุ่มเหล่านี้อาจมีขนาดตั้งแต่ 0.5 – 1 เซนติเมตร และจะแห้งตกสะเก็ดภายใน 2 – 3 สัปดาห์ ช่วงที่มีตุ่มหนองนี้เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสูงที่สุด
การรักษาฝีดาษวานร
ในปัจจุบัน ยังไม่มียารักษาเฉพาะสำหรับฝีดาษวานร การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด และการดูแลแผลที่ผิวหนัง ในกรณีที่รุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสบางชนิด สำหรับผู้ที่สงสัยว่าอาจติดเชื้อ ควรแยกตัว และปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด การวินิจฉัย และรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความรุนแรงของโรค และป้องกันการแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้
แนวทางการป้องกันโรคฝีดาษวานร
- การป้องกันส่วนบุคคล: ประชาชนทั่วไปควรระมัดระวังการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อ หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับรอยโรค หรือวัสดุที่ปนเปื้อน เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน หรือของใช้ส่วนตัวอื่นๆ ของผู้ป่วย การล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ เป็นวิธีพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ
- วัคซีน: แม้ว่าวัคซีนเฉพาะสำหรับฝีดาษวานร อาจยังไม่แพร่หลาย แต่วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษก็อาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันได้บางส่วน ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเหมาะสมในการรับวัคซีน โดยเฉพาะถ้าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง
- การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วย ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม ได้แก่ หน้ากากอนามัย ถุงมือ เสื้อคลุม และแว่นตาป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- การแยกกักผู้ป่วย: ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อควรได้รับการแยกกัก และรักษาในสถานพยาบาลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น การแยกกักควรดำเนินไปจนกว่าแผลจะหายสนิท และตกสะเก็ดหลุดออกหมด
- การติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด: หน่วยงานสาธารณสุขควรดำเนินการติดตาม และเฝ้าระวังผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยัน เพื่อสังเกตอาการ และให้การดูแลที่เหมาะสมหากมีการติดเชื้อ
- การให้ความรู้แก่ประชาชน: การสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค วิธีการแพร่เชื้อ และมาตรการป้องกัน เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการระบาด หน่วยงานสาธารณสุขควรมีการเผยแพร่ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และทั่วถึง
- การเฝ้าระวังโรค: ระบบเฝ้าระวังโรคที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ มีความสำคัญในการตรวจจับการระบาดได้อย่างรวดเร็ว การรายงานผู้ป่วยสงสัย หรือยืนยันควรดำเนินการโดยเร็วเพื่อให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ทันท่วงที
- การควบคุมสัตว์พาหะ: ในพื้นที่ที่มีการระบาดในสัตว์ ควรมีมาตรการควบคุมประชากรสัตว์พาหะ และลดการสัมผัสระหว่างมนุษย์กับสัตว์ที่อาจเป็นแหล่งรังโรค
การดำเนินการป้องกันโรคฝีดาษวานรที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตระหนักรู้ และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด และต่อเนื่อง
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
การตระหนักรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับ 7 สัญญาณอาการของโรคฝีดาษวานร เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราสามารถระบุ และรับมือกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การติดตามข่าวสาร และปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และแพร่กระจายของโรคฝีดาษวานรได้อย่างมีประสิทธิภาพ