ป้องกันโรคเริมได้ง่ายๆ เคล็ดลับ และวิธีปฏิบัติ เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยจากเริม

วิธีป้องกันโรคเริม

โรคเริม เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งของผิวหนัง มีลักษณะเป็นเยื่อเมือกต่างๆ ทำให้มีลักษณะพุขึ้นเป็นตุ่มใสเล็กๆ แล้วแตกเป็นแผล ตกสะเก็ด ซึ่งหายได้เอง มักกำเริบซ้ำ และเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมักมีอาการกำเริบได้บ่อย และรุนแรงกว่าปกติ บทความนี้จะพูดถึง วิธีป้องกันโรคเริม เพื่อให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับโรคเริม และป้องกันตัวเองจากโรคเริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรคเริม คืออะไร ?

โรคเริม (Herpes) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง และเยื่อเมือกที่เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex (HSV) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  • HSV-1 มักทำให้เกิด เริมที่ปาก หรือรอบๆ บริเวณริมฝีปาก
  • HSV-2 มักทำให้เกิด เริมที่อวัยวะเพศ

อาการของเริม

การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อน อาจมีอาการคัน เจ็บจี้ดๆ หรือปวดแสบปวดร้อนบ้าง ต่อมาจะมีอาการบวม และอีก 2 – 3 วันจะมีตุ่มน้ำพองใสเหมือนหยดน้ำเล็กๆ มีขอบแดง ตุ่มน้ำมักจะแตกออกใน 24 ชั่วโมง และตกสะเก็ดเป็นแผลถลอกตื้นๆ การกลับมาเป็นซ้ำ Recurring Infections เมื่อมีการติดเชื้อครั้งแรกแล้ว

หลังจากนั้นจะมีการกลับเป็นผื่นใหม่เป็นระยะๆ เนื่องจากร่างกายกำจัดเชื้อไวรัสได้ไม่หมด การกลับมาเป็นใหม่ของโรคเริมแต่ละครั้งมักมีอาการน้อยกว่า และเป็นเกิดเป็นพื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ แต่มักเป็นบริเวณใกล้ๆ กับที่เดิมโดยเฉพาะที่อวัยวะเพศ ผู้ที่เป็นโรคนี้มาแล้วมักรู้สึกว่ามี “อาการเตือน” นำมาก่อน

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ โรคเริม กลับมาเป็นซ้ำ

  • ความเครียด พบว่าความเครียดสามารถกระตุ้นให้โรคเริมกลับมาเป็นซ้ำได้
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ การพักผ่อนไม่เพียงพออาจทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งอาจทำให้โรคเริมกลับมาเป็นซ้ำได้
  • การเจ็บป่วย การเจ็บป่วย เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้ออื่นๆ อาจทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งอาจทำให้โรคเริมกลับมาเป็นซ้ำได้
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น ในช่วงมีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์ อาจทำให้โรคเริมกลับมาเป็นซ้ำได้
  • การโดนแสงแดด การโดนกับแสงแดดนานๆ อาจทำให้โรคเริมกลับมาเป็นซ้ำได้
  • การใช้ยาบางชนิด การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ อาจทำให้โรคเริมกลับมาเป็นซ้ำได้

การป้องกันโรคเริมกลับมาเป็นซ้ำ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ที่อาจทำให้โรคเริมกลับมาเป็นซ้ำ

แนวทาง และวิธีป้องกันโรคเริม

วิธีป้องกันโรคเริม มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ดังนี้

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกรั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ไม่สัมผัสแผล น้ำลาย หรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าแผลจะหายสนิท
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เป็นต้น
  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
  • สำหรับผู้ที่เคยเป็นเริมแล้ว ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ อาจจะติดอีกรอบ

การรักษาโรคเริม

โรคเริม ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาให้อาการดีขึ้น และบรรเทาอาการคัน ระคายเคืองได้ การรักษาโรคเริม มักใช้ยาต้านไวรัส เช่น

  • อะไซโคลวิรอล (Acyclovir)
  • วาลาไซโคลวิรอล (Valacyclovir)

ระยะเวลาในการรักษาโรคเริม

ระยะเวลาในการรักษาโรคเริมด้วยยาต้านไวรัส ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคเริม ความรุนแรงของอาการ และอายุของผู้ป่วย

  • เริมที่ปาก มักรักษาด้วยยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน หรือชนิดทา ระยะเวลาในการรักษามักอยู่ที่ 5 วัน
  • เริมที่อวัยวะเพศ มักรักษาด้วยยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน ระยะเวลาในการรักษามักอยู่ที่ 10 – 14 วัน

หากพบว่าตนเอง มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคเริม เช่น มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยโรคเริม หรือมีอาการคัน ระคายเคืองบริเวณปาก หรืออวัยวะเพศ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่เหมาะสม