ฉีดฟรี วัคซีนฝีดาษวานร 3,000 โดส สำหรับ 3 กลุ่มเสี่ยง ใครบ้างเช็คเลย

ฉีดฟรี 3 กลุ่มเสี่ยง วัคซีนป้องกันฝีดาษวานร

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เกี่ยวกับแนวทางการใช้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานร (Mpox) ในประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญดังนี้

ทางกรมควบคุมโรคได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 21 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานรจำนวน 3,000 โดส ทั้งนี้ เนื่องจากวัคซีนดังกล่าวยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมจึงต้องใช้มาตรา 13(5) ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยา พ.ศ. 2510 เพื่อดำเนินการจัดซื้อเพื่อการควบคุมโรค

นายแพทย์ธงชัยอธิบายว่า โรคฝีดาษวานรมีอัตราการแพร่ระบาดค่อนข้างต่ำ การติดเชื้อต้องอาศัยการสัมผัสใกล้ชิดกันอย่างมาก อีกทั้งอาการของโรคไม่รุนแรงเท่าโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ เนื่องจากไม่มีอาการไอ หรือน้ำมูกไหล ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดการระบาดใหญ่ หรือระบาดอย่างกว้างขวางจึงมีความเป็นไปได้ต่ำ อย่างไรก็ตาม ทางคณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าการจัดหาวัคซีนยังคงมีความจำเป็นเพื่อเป็นมาตรการในการควบคุมโรค

วัคซีนที่จัดซื้อจำนวน 3,000 โดสนี้ จะถูกนำมาใช้ฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสผู้ติดเชื้อ
  2. ผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับโรค และมีความเสี่ยงติดเชื้อ โดยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนภายใน 4 วันหลังจากสัมผัสเชื้อ
  3. ผู้ที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ เช่น สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนเอง คือ ผู้ที่มีแผนเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค ซึ่งปัจจุบันสามารถรับบริการได้ที่สภากาชาดไทย

อธิบดีกรมควบคุมโรคยังเปิดเผยว่า หลังจากนี้จะต้องดำเนินการทำเรื่องผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติเพื่อดำเนินการจัดซื้อต่อไป โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือนหลังจากสั่งซื้อ จึงจะได้รับวัคซีนมาใช้ในประเทศ

นายแพทย์ธงชัยย้ำว่า การฉีดวัคซีนนี้ไม่ใช่การฉีดให้กับประชาชนทั่วไป เนื่องจากอัตราการระบาดต่ำ และไม่พบการระบาดทั่วไปในประชากรไทย แต่พบผู้ป่วยในกลุ่มเฉพาะเท่านั้น โดยตั้งแต่พบผู้ป่วยรายแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2565 พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ขายบริการทางเพศชาย

สถิติล่าสุดพบว่ามีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษารวมทั้งสิ้น 833 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 13 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV) ร่วมด้วย สำหรับสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดคือสายพันธุ์เคลด 2 โดยในปี 2565 พบผู้ป่วย 673 ราย และในปี 2566 พบผู้ป่วยลดลงเหลือ 146 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มเดิม และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

สำหรับกรณีการพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เคลด 1 บี รายแรกในประเทศไทยนั้น นายแพทย์ธงชัยแจ้งว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว และจากการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดจำนวน 43 คนครบกำหนดระยะเวลาแล้ว ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีการระบาด หรือการติดเชื้อเพิ่มในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ทางกรมควบคุมโรคยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากประเมินว่าประเทศไทยยังมีโอกาสพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวเข้ามาอีกในอนาคต

ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคยังคงเน้นย้ำมาตรการป้องกัน และควบคุมโรค โดยให้ประชาชนหมั่นล้างมือ รักษาสุขอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการสงสัย และหากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต และมีผื่นขึ้น ให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรักษาโดยเร็ว เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคต่อไป

ขอบคุณข้อมูล : hfocus

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า