ในยุคที่โลกกำลังเปิดกว้างเรื่อง ความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) แต่ยังคงมีบางกลุ่มที่พยายาม “เปลี่ยน” หรือ “แก้ไข” ตัวตนของบุคคลให้กลับไปเป็นเพศตามที่สังคมคาดหวัง แนวทางที่เรียกว่า การบำบัดแปลงเพศ (Conversion Therapy) ยังคงปรากฏอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยในบางพื้นที่ แต่ในทางการแพทย์และจิตวิทยา แนวปฏิบัตินี้ไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ และกลับสร้างผลเสียต่อสุขภาพจิตของผู้ถูกบำบัดมากกว่าผลดี จึงไม่น่าแปลกใจที่ สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (APA) ออกแถลงการณ์คัดค้านแนวทางนี้อย่างชัดเจน บทความนี้จะพาไปรู้จักว่า “การบำบัดแปลงเพศ” คืออะไร ทำไมถึงเป็นอันตราย และเหตุใดองค์กรด้านสุขภาพจิตระดับโลกถึงยืนหยัดต่อต้านแนวทางนี้อย่างจริงจัง
การบำบัดแปลงเพศ คืออะไร?
การบำบัดแปลงเพศ หรือ Conversion Therapy หมายถึง แนวทางการรักษาหรือบำบัดทางจิตที่มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศของบุคคล จากกลุ่มหลากหลายทางเพศ (เช่น เกย์ เลสเบียน ไบเซ็กชวล หรือทรานส์เจนเดอร์) ให้กลับมาเป็นเพศตรงข้ามตามบรรทัดฐานสังคม แนวทางนี้มักใช้วิธีการที่หลากหลาย ตั้งแต่:
- การให้คำปรึกษาทางศาสนา
- การใช้จิตบำบัดเชิงพฤติกรรม
- ไปจนถึงการใช้ยาหรือการลงโทษทางร่างกาย
โดยมีจุดประสงค์เพื่อ “ลบล้าง” ตัวตนหรือความรู้สึกทางเพศของบุคคลนั้น ๆ แต่ในความเป็นจริง ไม่มีหลักฐานใดทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันได้ว่าการบำบัดแปลงเพศสามารถเปลี่ยนรสนิยมทางเพศได้จริง กลับกัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมักเต็มไปด้วยความทุกข์ ความรู้สึกผิด และความอับอายที่ถูกปลูกฝังจากการไม่ยอมรับตัวเอง

จุดเริ่มต้นของแนวคิด การบำบัดแปลงเพศ
แนวคิดเรื่องการบำบัดแปลงเพศเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อสังคมตะวันตกยังมองว่า “ความเป็นเกย์” หรือ “ความหลากหลายทางเพศ” เป็นความผิดปกติทางจิตหรือศีลธรรม นักจิตแพทย์บางกลุ่มในยุคนั้นเชื่อว่าการบำบัดสามารถช่วยให้ผู้ป่วย “กลับมาเป็นปกติ” ได้ แต่หลังจากการวิจัยและความก้าวหน้าทางจิตเวชศาสตร์ในช่วงปี 1970 เป็นต้นมา สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (APA) ได้ถอด “ภาวะรักเพศเดียวกัน” ออกจากบัญชีรายชื่อโรคทางจิตอย่างเป็นทางการในปี 1973 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วงการแพทย์ทั่วโลกเริ่มตระหนักว่า ความหลากหลายทางเพศไม่ใช่ความผิดปกติ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์
ทำไม APA ถึงออกมาคัดค้าน การบำบัดแปลงเพศ ?
สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (APA) ซึ่งเป็นองค์กรทางจิตเวชที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า
“การบำบัดแปลงเพศ (Conversion Therapy) เป็นแนวทางที่ขัดต่อหลักจริยธรรม
และไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับว่ามีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศได้จริง”
APA ย้ำว่าการบำบัดลักษณะนี้
- สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกไร้ค่า หรือการทำร้ายตัวเอง
- ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ของบุคคลในการมีตัวตนตามเพศวิถีของตนเอง
- และ ขัดต่อหลักการของการดูแลทางจิตเวช ที่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
APA จึงออกคำแนะนำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตทุกคน ไม่เข้าร่วมหรือสนับสนุนแนวทางการบำบัดแปลงเพศในทุกรูปแบบ

ผลกระทบของการบำบัดแปลงเพศต่อสุขภาพจิต
งานวิจัยจากหลายประเทศพบว่า ผู้ที่ผ่านการบำบัดแปลงเพศมักประสบกับปัญหาทางจิตใจในระยะยาว เช่น
- ภาวะ ซึมเศร้า (Depression)
- ความวิตกกังวล (Anxiety)
- ความรู้สึก เกลียดตัวเอง หรือรู้สึกว่าตัวเอง “ผิด”
- และในบางกรณีอาจนำไปสู่ การพยายามฆ่าตัวตาย
รายงานของ The Trevor Project (2023) พบว่า เยาวชน LGBTQ+ ที่เคยผ่านการบำบัดแปลงเพศมีแนวโน้มคิดฆ่าตัวตายมากกว่าคนทั่วไปถึง 2–3 เท่า นั่นแสดงให้เห็นว่า การบำบัดที่ตั้งอยู่บนการปฏิเสธตัวตน ไม่เพียงไม่ช่วย “รักษา” แต่ยังทำร้ายหัวใจของผู้ที่กำลังพยายามยอมรับตัวเอง
การเคลื่อนไหวระดับโลกเพื่อต่อต้าน “การบำบัดแปลงเพศ”
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มออกกฎหมาย ห้ามการบำบัดแปลงเพศ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน เช่น
- 🇨🇦 แคนาดา: ออกกฎหมายห้ามอย่างเป็นทางการในปี 2022
- 🇩🇪 เยอรมนี: ห้ามการบำบัดแปลงเพศในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
- 🇫🇷 ฝรั่งเศส: กำหนดให้ผู้ที่กระทำหรือโฆษณาการบำบัดแปลงเพศมีโทษจำคุก
- 🇬🇧 สหราชอาณาจักร: อยู่ระหว่างกระบวนการออกกฎหมายห้ามอย่างถาวร
- 🇹🇭 ประเทศไทย: ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะ แต่เริ่มมีการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมและนักจิตวิทยาที่ออกมาต่อต้านแนวปฏิบัตินี้มากขึ้น
สถานการณ์ในประเทศไทยเกี่ยวกับการบำบัดแปลงเพศ
แม้ประเทศไทยจะมีภาพลักษณ์ว่าเปิดกว้างต่อความหลากหลายทางเพศมากกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย แต่แนวคิดเรื่อง “การบำบัดแปลงเพศในประเทศไทย” ยังปรากฏอยู่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในแวดวงศาสนา กลุ่มที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม หรือผู้ให้คำปรึกษาบางรายที่ยังคงมองว่า “ความหลากหลายทางเพศ” เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขให้กลับมาเป็น “ปกติ”
ถึงแม้ในระบบสาธารณสุขของไทย กระทรวงสาธารณสุข และ กรมสุขภาพจิต จะไม่มีนโยบายหรือแนวปฏิบัติที่สนับสนุนการบำบัดแปลงเพศ แต่ก็ยังไม่มี กฎหมายเฉพาะ ที่ “ห้าม” แนวปฏิบัตินี้อย่างชัดเจนเหมือนในหลายประเทศตะวันตก ส่งผลให้ยังมีช่องว่างทางกฎหมายที่อาจเปิดโอกาสให้บางกลุ่มดำเนินกิจกรรมลักษณะนี้ได้โดยไม่ถูกลงโทษ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักจิตวิทยาและนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนในไทย ได้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องให้ประเทศไทย
- ออกแนวทางวิชาชีพที่ชัดเจนในการ คุ้มครองผู้มีความหลากหลายทางเพศจากการบำบัดแปลงเพศ
- ผลักดันให้มีการ อบรมบุคลากรด้านสุขภาพจิต ให้เข้าใจเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) และเพศวิถี (Sexual Orientation)
- ส่งเสริมแนวทาง “การบำบัดเชิงยืนยันตัวตน” (Affirmative Therapy) ซึ่งให้ความสำคัญกับการยอมรับ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ สมาคมวิชาชีพในประเทศไทย เช่น สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย เริ่มออกแถลงการณ์หรือแนวทางสนับสนุนสิทธิมนุษยชนของกลุ่ม LGBTQ+ มากขึ้น โดยย้ำว่าการพยายามเปลี่ยนรสนิยมทางเพศของบุคคลเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับหลักจริยธรรมทางจิตวิทยาและขัดต่อหลักสากล แม้ในระดับกฎหมาย ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายห้าม “Conversion Therapy” อย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติ หน่วยงานด้านสุขภาพและสิทธิมนุษยชน เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และ กรมสุขภาพจิต ต่างเห็นพ้องกันว่าแนวทางดังกล่าวเป็นอันตรายและละเมิดสิทธิในความเป็นตัวตนของบุคคล ในระดับชุมชนเอง หลายองค์กรภาคประชาสังคม เช่น มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลายทางเพศ (FOR-SOGI) และ มูลนิธิฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ได้จัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่อง “การบำบัดแปลงเพศคืออะไร และทำไมถึงอันตราย” เพื่อสร้างความเข้าใจในสังคมและให้ผู้ที่เคยเผชิญประสบการณ์ลักษณะนี้ได้เข้าถึงการดูแลทางจิตใจที่เหมาะสม
การสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ทางจิตใจในประเทศไทย
จึงเป็นก้าวสำคัญที่ต้องเดินหน้าควบคู่ไปกับการออกนโยบายที่ชัดเจน
เพื่อยุติแนวทางการบำบัดแปลงเพศอย่างถาวร
และสร้างระบบสุขภาพจิตที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง
การดูแลสุขภาพจิตอย่างเข้าใจ แทนการ “บำบัดแปลงเพศ”
แทนที่จะพยายาม “เปลี่ยน” ใครให้เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น การดูแลสุขภาพจิตควรเน้นที่การ เข้าใจ ยอมรับ และสนับสนุนให้บุคคลได้เป็นตัวเองอย่างปลอดภัย แนวทางที่เหมาะสม เช่น
- การให้คำปรึกษาเชิงสนับสนุน (Affirmative Therapy) ที่ช่วยให้บุคคลเข้าใจตัวตนของตนเองโดยไม่ตัดสิน
- การสร้างพื้นที่ปลอดภัย (Safe Space) สำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ
- การฝึกอบรมผู้ให้บริการสุขภาพให้เข้าใจเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศและเพศวิถี
เมื่อคนรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
อ่านบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ฮอร์โมนยืนยันเพศสภาพ บัตรทองเพิ่มสิทธิใหม่ ดูแลครบวงจรคนข้ามเพศ
- IDAHOBIT 2025: พลังแห่งชุมชน ขับเคลื่อนความเท่าเทียมทางเพศ
เสียงจาก APA ที่ก้องไปทั่วโลก
แถลงการณ์ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (APA) ไม่ได้เป็นเพียงจุดยืนทางวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็น สัญญาณแห่งการเคารพสิทธิมนุษยชน มันส่งข้อความสำคัญถึงสังคมทั่วโลกว่า
“ไม่มีใครควรถูกบังคับให้เปลี่ยนสิ่งที่เขาเป็น
เพราะการเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่ความผิด”
นี่คือก้าวสำคัญที่ทำให้โลกเริ่มมองเห็นว่า สุขภาพจิตและความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องเดียวกันที่ต้องได้รับความเข้าใจและความเคารพอย่างเท่าเทียม
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
☞ หากคุณหรือคนใกล้ตัวถูกบังคับให้เข้ารับการบำบัดแปลงเพศ สามารถ ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) หรือขอคำปรึกษาจาก นักจิตวิทยาหรือองค์กรที่สนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ เพื่อรับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและปลอดภัย
☞ Affirmative Therapy เป็นแนวทางการบำบัดที่เน้น “การยืนยันตัวตน” ของผู้รับการบำบัด ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงตัวตน ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้บุคคลเข้าใจ ยอมรับ และใช้ชีวิตตามอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองได้อย่างมั่นใจและมีสุขภาพจิตที่ดี ต่างจากการบำบัดแปลงเพศที่เน้นการ “ลบล้าง” ตัวตน
☞ หลายคนยังเชื่อว่าการบำบัดแปลงเพศได้ผล เพราะถูกปลูกฝังความคิดจากวัฒนธรรมหรือศาสนาที่มอง “ความหลากหลายทางเพศ” เป็นสิ่งผิดปกติ อีกทั้งในบางกรณีมีผู้ให้คำปรึกษาที่ขาดความรู้ด้านจิตวิทยาสมัยใหม่หรืออ้างผลลัพธ์ที่ไม่เป็นจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าสามารถ “เปลี่ยนเพศวิถี” ได้ ทั้งที่ในทางวิทยาศาสตร์ไม่เคยมีหลักฐานยืนยัน
☞ สิ่งที่ดีที่สุดคือ การรับฟังและยอมรับ ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนแปลง การสนับสนุนจากครอบครัวมีผลอย่างมากต่อสุขภาพจิตของเยาวชน LGBTQ+ พ่อแม่สามารถพูดคุยอย่างเปิดใจ หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ หรือขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาที่ใช้แนวทาง Affirmative Therapy เพื่อเข้าใจลูกมากขึ้น
☞ นักจิตวิทยาไทยรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มหันมาใช้แนวทาง Affirmative Therapy ซึ่งเน้นการเข้าใจและสนับสนุนผู้รับบริการในแบบที่พวกเขาเป็น โดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวตน ทั้งนี้ สมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทยและกรมสุขภาพจิตก็ให้ความสำคัญกับประเด็น สุขภาพจิตของกลุ่ม LGBTQ+ มากขึ้น
บทสรุป
“การบำบัดแปลงเพศ” อาจถูกเรียกว่า “การรักษา” แต่ในความจริงแล้ว มันคือการ ทำลายความมั่นใจและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่ง สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (APA) และองค์กรสุขภาพจิตทั่วโลกต่างยืนหยัดในจุดยืนเดียวกันว่า
- ความหลากหลายทางเพศไม่ใช่โรค
- การบำบัดแปลงเพศไม่มีประสิทธิภาพ
- และสิ่งที่เราควรส่งต่อแทน คือ “การยอมรับ ความเข้าใจ และการดูแลด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง”
การหยุดการบำบัดแปลงเพศ ไม่ใช่เพียงการยุติแนวปฏิบัติที่ผิด แต่คือการเริ่มต้นของสังคมที่เท่าเทียม ปลอดภัย และเต็มไปด้วยความเคารพในความเป็นมนุษย์ของทุกคน
อ้างอิงข้อมูลจาก:
APA Position Statement on Conversion Therapy and LGBTQ+ Patients
การใช้ฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ แนวทางและความสำคัญ
การสนับสนุนสุขภาพจิตในชุมชน LGBTQ+