วันรำลึกถึงคนข้ามเพศ ไม่ใช่แค่วันหนึ่งในปฏิทิน แต่เป็นช่วงเวลาที่ชวนให้เราหยุดคิด หยุดฟัง และหยุดมองย้อนกลับไปถึงชีวิตของคนข้ามเพศที่จากไปเพราะความเกลียดชัง ความไม่เข้าใจ และความรุนแรงในทุกรูปแบบ มันคือวันที่โลกควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า—ทำไมความหลากหลายจึงยังต้องแลกมาด้วยชีวิต? บทความนี้อยากชวนคุณค่อย ๆ ทำความเข้าใจ “วันรำลึกถึงคนข้ามเพศ” ในแบบที่อ่านง่าย เหมือนแชร์ให้เพื่อนฟัง แต่ยังคงเต็มไปด้วยข้อมูลที่ช่วยมองเห็นปัญหาในภาพใหญ่ไปพร้อม ๆ กัน
ทำไมเรายังต้องพูดถึง “วันรำลึกถึงคนข้ามเพศ”?
เพราะทุกปี มีคนข้ามเพศจำนวนไม่น้อยต้องสูญเสียชีวิตจากอาชญากรรมที่ขับเคลื่อนด้วย “ความเกลียดชัง” หรือ Hate Crime ไม่ว่าจะเป็นการถูกทำร้ายร่างกาย การคุกคาม การเหยียดหยาม หรือแม้แต่ความรุนแรงจากสังคมและครอบครัวที่มองพวกเขาว่า “ผิดปกติ” สิ่งที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่านั้น คือผู้กระทำจำนวนมากไม่เคยถูกลงโทษ และในหลายพื้นที่ของโลก การเป็นคนข้ามเพศยังถือว่า “ผิดกฎหมาย” อยู่จนถึงปัจจุบัน ดังนั้น “วันรำลึกถึงคนข้ามเพศ” จึงไม่ใช่แค่การไว้อาลัย แต่คือเสียงร้องของสังคมว่า—
“พอแล้วกับความเกลียดชังที่พรากชีวิตผู้คนไป เพียงเพราะพวกเขาเป็นตัวของตัวเอง”
ต้นกำเนิดของ วันรำลึกถึงคนข้ามเพศ
วันรำลึกถึงคนข้ามเพศที่จากไปจากความเกลียดชัง หรือ Transgender Day of Remembrance (TDoR) ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะต้องการทำวันสัญลักษณ์ แต่เกิดจาก “ความสูญเสีย” อันสั่นสะเทือนใจที่เปลี่ยนการรับรู้ของสังคมอย่างสุดขั้ว
จุดเริ่มต้นของวันสำคัญนี้ย้อนกลับไปในปี 1998 เมื่อ Rita Hester หญิงข้ามเพศผิวสีจากเมืองบอสตัน ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในห้องพักของเธอเอง คดีของ Rita ไม่เพียงสะเทือนชุมชนคนข้ามเพศ แต่ยังสะท้อนความจริงที่เจ็บปวดว่า—ความรุนแรงจากความเกลียดชังที่กระทำต่อคนข้ามเพศมักถูกเมินเฉยโดยรัฐและสังคม ร่างของเธอถูกพบในสภาพบอบช้ำ แต่สิ่งที่บอบช้ำยิ่งกว่าคือ การนำเสนอข่าวโดยสื่อหลักที่เรียกเธอด้วยสรรพนามผิดเพศ (Misgendering) ทำให้ความตายของเธอถูกลดคุณค่าลงอีกระดับหนึ่ง

แรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์นี้ทำให้ชุมชน LGBTQ+ โดยเฉพาะหญิงข้ามเพศผิวสีในสหรัฐฯ ลุกขึ้นมาตั้งคำถามว่า—
- ทำไมความรุนแรงต่อคนข้ามเพศจึงถูกเพิกเฉย?
- ทำไมคดีฆาตกรรมคนข้ามเพศจึงไม่ถูกสืบสวนอย่างจริงจัง?
- ทำไมสังคมยังมองข้ามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา?
เพื่อให้ชื่อของ Rita ไม่ถูกลืม และเพื่อให้ความเจ็บปวดของคนอื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้นไม่เงียบหายไป องค์กรสิทธิคนหลากหลายเพศและนักกิจกรรมจึงร่วมกันจัดงานรำลึกขึ้นในปี 1999 ถือเป็นครั้งแรกของ Transgender Day of Remembrance วันดังกล่าวไม่ได้มีแค่พิธีไว้อาลัย แต่ประกอบด้วยกิจกรรมสัญลักษณ์ เช่น:
- การจุดเทียน เพื่อรำลึกถึงผู้สูญเสีย
- การอ่านรายชื่อเหยื่อความรุนแรงข้ามเพศในปีนั้น ๆ
- การเล่าเรื่องชีวิตของพวกเขา ไม่ใช่แค่ตัวเลข
- การรวมตัวแบบสงบ เพื่อแสดงว่าความเกลียดชังไม่ควรเป็นคำตอบของความแตกต่าง
จากงานเล็ก ๆ ในบอสตัน วันดังกล่าวได้กลายเป็น “ขบวนการระดับโลก” ในเวลาไม่นาน ทุกวันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี หลายร้อยเมืองทั่วโลก—ตั้งแต่สหรัฐฯ ลาตินอเมริกา ยุโรป ไปจนถึงเอเชีย—
ต่างมีงานจุดเทียนร่วมกัน เพื่อยืนยันว่า เราจะไม่ปล่อยให้ผู้ที่จากไปต้องหายไปจากความทรงจำของโลก และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น TDoR ช่วยให้สังคมย้อนมองปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่หลังความรุนแรง
ทั้งความเกลียดชังทางเพศสภาพ การเลือกปฏิบัติจากสถาบัน การใช้ความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงการไม่เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรม
การมีอยู่ของ “วันรำลึกถึงคนข้ามเพศ” จึงเป็นทั้งวันรำลึก และวันเรียกร้องให้โลกทำอะไรสักอย่าง—เพื่อให้ความสูญเสียเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก
สถิติความรุนแรงที่สะท้อนว่าปัญหานี้ยังไม่จบ
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดู “แนวโน้มความรุนแรงต่อคนหลากหลายเพศและคนข้ามเพศในไทยและต่างประเทศ” ผ่านตารางสรุปนี้
ตาราง: ภาพรวมความรุนแรงต่อคนข้ามเพศ (ข้อมูลจากองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่ง)
| ปี/ภูมิภาค | รูปแบบความรุนแรงที่พบมากที่สุด | สัดส่วน / แนวโน้ม | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|
| ทั่วโลก (UN รายงานปีล่าสุด) | การทำร้ายร่างกาย–การสังหาร | สูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอเมริกาใต้ | คนข้ามเพศผิวสีและหญิงข้ามเพศได้รับผลกระทบสูงที่สุด |
| ประเทศไทย | การคุกคามในครอบครัวและโรงเรียน | ยังพบในอัตราสูง แต่เริ่มมีโครงการป้องกันเพิ่มขึ้น | ความรุนแรงทางเพศถูกปิดเงียบมาก |
| เอเชีย | การเลือกปฏิบัติ + ความรุนแรงทางสังคม | หลายประเทศยังมีกฎหมายคุกคาม LGBTQ+ | ส่งผลให้เหยื่อไม่สามารถแจ้งความได้ |
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ความรุนแรงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็น “ปัญหาโลก” ที่ต้องร่วมมือกันแก้ไข
ความรุนแรงแบบไหนที่คนข้ามเพศต้องเผชิญ? (มากกว่าที่หลายคนคิด)
หลายคนอาจจะคิดว่า “ความรุนแรง” หมายถึงการถูกทำร้ายทางร่างกาย แต่สำหรับคนข้ามเพศ ความรุนแรงมาในหลายรูปแบบมากกว่านั้น ลองดูรายการต่อไปนี้เพื่อเข้าใจภาพรวมให้มากขึ้น
รูปแบบความรุนแรงที่พบมากที่สุด
- ความรุนแรงทางกาย – การทำร้ายร่างกายและอาชญากรรมจากความเกลียดชัง
- ความรุนแรงทางเพศ – ผู้หญิงข้ามเพศถูกล่วงละเมิดในอัตราสูง
- ความรุนแรงทางจิตใจ – การดูถูก เหยียดหยาม ตั้งคำถามกับตัวตน
- การเลือกปฏิบัติจากสถาบัน – โรงเรียน สถานพยาบาล ที่ทำให้คนข้ามเพศรู้สึก “ไม่ได้รับการยอมรับ”
- ความรุนแรงในครอบครัว – เป็นความรุนแรงที่มักถูกมองข้ามที่สุด
สิ่งที่ทุกข์ใจที่สุดไม่ใช่ความเจ็บปวดทางกาย แต่คือความรู้สึกว่า “เราไม่คู่ควรกับพื้นที่ปลอดภัยในสังคมนี้”

ทำไม วันรำลึกถึงคนข้ามเพศ จึงเชื่อมโยงกับวันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง?
หลายองค์กรระดับโลก เช่น UN และ UNESCO ชี้ให้เห็นว่า การยุติความรุนแรงต่อ “ผู้หญิง” ต้องครอบคลุมถึง “ผู้หญิงข้ามเพศ” ด้วย เพราะพวกเธอถือเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อความรุนแรงสูงที่สุดกลุ่มหนึ่ง ความรุนแรงทางเพศ การล่วงละเมิดทางกฎหมาย หรือแม้แต่การถูกปฏิเสธการรักษาพยาบาล เป็นสิ่งที่ผู้หญิงข้ามเพศต้องเผชิญอยู่เสมอ ดังนั้น การที่หลายประเทศเริ่มพูดถึงสิทธิคนข้ามเพศในกรอบของความเท่าเทียมทางเพศ คือความหวังใหม่ของโลกที่กำลังเดินหน้าไปสู่สังคมปลอดภัยมากขึ้น
มุมมองแบบเพื่อน: ทำไมเรื่องนี้ “เกี่ยวกับเรา” มากกว่าที่คิด
บางคนอาจคิดว่า “ฉันไม่ใช่คนข้ามเพศ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน”
แต่ความจริงคือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเราทุกคน โดยเฉพาะในฐานะมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมเดียว
ลองคิดดูง่าย ๆ:
- ถ้าสังคมอนุญาตให้ความเกลียดชังพาคนหนึ่งตายได้ วันหนึ่งมันอาจพาเราไปสู่ความรุนแรงในแบบที่เราคาดไม่ถึง
- ถ้าความหลากหลายถูกมองเป็นเรื่องผิด โลกนี้จะมีพื้นที่ให้ความแตกต่างอื่น ๆ อีกหรือไม่?
- ถ้าคนธรรมดาคนหนึ่งเพียงแค่ “เป็นตัวเอง” ก็ถูกทำร้ายจนถึงชีวิต แปลว่าเสรีภาพของเราทุกคนกำลังแย่ลง
ดังนั้น การพูดถึงวันรำลึกถึงคนข้ามเพศ ไม่ใช่เรื่องของเพศสภาพ แต่คือเรื่องของ ความเป็นมนุษย์
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ (เพื่อไม่ให้ลืมว่าปัญหานี้เกิดขึ้นจริง)
ต่อไปนี้คือเคสที่หลายองค์กรยกขึ้นมาเพื่อให้สังคมตระหนักถึงความรุนแรงต่อคนข้ามเพศ
- หญิงข้ามเพศในหลายประเทศถูกสังหารเพียงเพราะแต่งกายไม่ตรงตามเพศกำเนิด
- เยาวชนข้ามเพศถูกทำร้ายในโรงเรียน โดยไม่มีครูเข้ามาปกป้อง
- คนข้ามเพศจำนวนมากต้องเสียชีวิตจากการล่วงละเมิดทางเพศหรือการตีตราในครอบครัว
- หลายกรณีไม่ถูกนำเข้าสู่ระบบยุติธรรม เพราะตำรวจหรือสถาบันรัฐไม่ใส่ใจ
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล่าในอดีต แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น “ทุกปี”
โลกกำลังเปลี่ยน—แต่เพียงพอหรือยัง?
แน่นอนว่าสังคมเริ่มเปิดใจมากขึ้น
หลายประเทศเริ่มรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ และออกนโยบายปกป้องคนข้ามเพศมากขึ้น เช่น
- การคุ้มครองสิทธิในการทำงาน
- การยอมรับการเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ
- การไม่เลือกปฏิบัติในโรงเรียนและสถานพยาบาล
- การรณรงค์ให้เห็นความรุนแรงและ Hate Crime มากขึ้น
แต่ในทางปฏิบัติ ความกลัว ความหลอกลวง และความเกลียดชัง ยังคงทำร้ายชีวิตของผู้คนจำนวนมาก วันนี้จึงเป็นวันสำคัญที่เราไม่ควรปล่อยให้ความเงียบกลบความจริง
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- ฮอร์โมนยืนยันเพศสภาพ บัตรทองเพิ่มสิทธิใหม่ ดูแลครบวงจรคนข้ามเพศ
- การบำบัดแปลงเพศคืออะไร? ทำไมสมาคม APA ถึงคัดค้าน
แล้วเราจะช่วยอะไรได้บ้างในฐานะ “เพื่อนมนุษย์”?
ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเคลื่อนไหว ไม่จำเป็นต้องมีเวทีใหญ่ ทุกคนช่วยได้ในระดับเล็ก ๆ ที่สำคัญมาก
สิ่งที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน
- ฟังโดยไม่ตัดสิน — ทำให้คนข้ามเพศรู้ว่าพวกเขามีพื้นที่ปลอดภัย
- พูดแทนเมื่อเห็นการรังแกหรือความรุนแรง
- แชร์ความรู้เกี่ยวกับวันรำลึกถึงคนข้ามเพศ
- สนับสนุนองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ
- ไม่ใช้คำเหยียดหรือมุกล้อเลียนที่ทำร้ายจิตใจใคร
บางครั้งแค่ “ความเมตตา” ของเรา ก็อาจเป็นความอบอุ่นเดียวที่ใครบางคนได้รับในวันนั้น

วันรำลึกถึงคนข้ามเพศ วันที่เราเลือกจะไม่ลืมพวกเขา
ในวันรำลึกถึงคนข้ามเพศ เราจุดเทียนเพื่อระลึกถึงผู้สูญเสีย แต่แสงของเทียนไม่ใช่สัญลักษณ์ของความเศร้าเท่านั้น มันคือสัญลักษณ์ของ “ความหวัง”
ความหวังว่า…
- โลกจะปลอดภัยกว่านี้
- ตัวตนของใครก็ตามจะได้รับความเคารพ
- ความต่างจะไม่ใช่เหตุผลให้ใครต้องตาย
- ความรักและความเมตตาจะมีพลังมากกว่าความเกลียดชัง
และในวันที่เราหยุดเพื่อระลึกถึงคนที่จากไป เราก็กำลังสัญญากับพวกเขาว่า
“เราจะไม่ให้ความเกลียดชังพรากใครไปจากเราอีก”
อ้างอิงข้อมูลจาก:
- วันรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในกลุ่มคนข้ามเพศ (TDOR)
- สัปดาห์รณรงค์ตระหนักรู้ถึงคนข้ามเพศและวันรำลึกถึงคนข้ามเพศ
- เสวนา จากสมรสเท่าเทียม สู่การยอมรับตัวตน และ TDOR 2025

