เริมที่ปาก เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในทุกเพศทุกวัย แถมยังเป็นโรคติดต่ออีกด้วย หากมีการสัมผัสเชื้อ เช่น การจูบ การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้หลอดดูดเดียวกัน ใช้ลิปสติกแท่งเดียวกัน การใช้ของร่วมกัน หรือแม้แต่การทำออรัลเซ็กส์ โดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย เป็นต้น ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับ โรคเริมที่ปาก นี้เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะได้รู้สาเหตุและป้องกันตนเองไม่ให้เกิดโรคได้ครับ
เริมที่ปาก เกิดจาก เชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Herpes Simplex Type 1 Virus (HSV-1) สามารถติดเชื้อได้จากน้ำลาย น้ำเหลือง หรือน้ำอสุจิ สารคัดหลั่ง โดยเชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายได้ทางผิวหนังบริเวณที่มีรอยถลอกหรือแผล นอกจากนี้ ก็ยังสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางเยื่อเมือก เช่น เยื่อบุปาก เป็นต้น โดยเมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะเข้าไปอยู่ในเซลล์ผิวหนังชั้นล่าง โดยบางครั้ง ก็อาจจะไม่มีอาการแสดงให้เห็น แต่ผู้ป่วยบางราย ในทำนองเดียวกัน เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุเริมที่ปาก นี้ก็อาจจะเกิดการแบ่งตัวและทำลายเซลล์ผิวหนังทำให้เกิดเป็นตุ่ม ใส ๆ เมื่อตุ่มน้ำเหล่านี้แห้งหรือแตกแล้วก็จะเกิดเป็นสะเก็ดและหายไปโดยไม่มีแผลเป็นใด ๆ
อาการของ เริมที่ปาก มักเริ่มขึ้นด้วยอาการคัน แสบร้อน ตามมาด้วยตุ่มน้ำใสขนาดเล็กที่บริเวณริมฝีปาก ริมฝีปากด้านใน ตุ่มน้ำเหล่านี้จะแตกออกกลายเป็นแผลพุพอง และอาจมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย โดยอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 10 – 14 วัน อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัส HSV-1 จะยังคงอยู่ในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ และสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เมื่อร่างกายอ่อนแอลง เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียด ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือเจ็บป่วย อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
ระยะของโรคเริมที่ปาก แบ่งออกเป็น 5 ระยะ ได้แก่
หากติดเชื้อเริม อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที อย่าปล่อยให้อาการทุเลาเอง
เริมที่ปาก สามารถติดต่อกันได้ หากมีการสัมผัสเชื้อผ่านสารคัดหลั่งต่าง ๆ ของร่างกาย น้ำลาย น้ำอสุจิ น้ำเหลือง พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดต่อโรคนี้ ตัวอย่างเช่น การจูบ การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้หลอดดูดเดียวกัน การรับประทานอาหารไม่ใช้ช้อนกลาง ใช้ลิปสติกแท่งเดียวกัน การใช้ของร่วมกัน หรือแม้แต่ การทำออรัลเซ็กส์ โดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย เป็นต้น ซึ่งหาก เป็นเริมที่ปาก ก็อาจทำให้บริเวณอวัยวะอื่นติดเชื้อเริมไปด้วย ถึงแม้ว่า จะเป็นไวรัสคนละชนิดกันก็ตาม อ่านข้อมูลเกี่ยวกับโรคเริมที่อวัยวะเพศเพิ่มเติมที่นี่ > https://www.lovefoundation.or.th/post/herpes-simplex
โรคเริม ที่ปาก ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และสามารถเกิดซ้ำได้ทุกเมื่อ ใครหลายคนจึงมีอาการ ปากเป็นเริม บ่อยมากเมื่อร่างกายอ่อนแอ หรืออยู่ในช่วงที่พักผ่อนไม่เพียงพอ มีอาการป่วย รู้สึกเครียด หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ การมีประจำเดือน มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดนแดดจัดจนผิวไหม้แดด รวมถึงผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดคีโม และใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ยาที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ตัวว่าเป็น เริมในปาก ควรรีบรักษา เพราะอาจจะส่งผลในชีวิตประจำวันได้ อีกทั้งยังกระทบต่อบุคลิกภายนอก หากต้องพบปะลูกค้า คุยงาน ออกงานสำคัญ อาจทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้ครับ
การ รักษาเริม ที่ปาก ยาที่ใช้รักษาเริมที่ปาก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ยาทาและยารับประทาน
ยาเหล่านี้เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษา เริมที่ปาก โดยเฉพาะ มีคุณสมบัติในการหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส ช่วยเร่งการรักษาแผลพุพอง และลดอาการของโรค ลดอาการเจ็บปวด ลดอาการแสบร้อนหรือคันบริเวณแผลลงได้ ซึ่งจะเข้าไปหยุดยั้งการเติบโตของเชื้อไวรัส โดยก่อนและหลังการทายาควรล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง ทาบาง ๆ บริเวณแผลและรอบ ๆ แผล นวดเบา ๆ ทายานี้ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน หรือทาตามคำสั่งแพทย์หรือเภสัชกร แต่ห้ามทายานี้ที่แผลในปากเด็ดขาด และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ควรเก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้องปกติ หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือความชื้น
ยาต้านไวรัส เหล่านี้ จะเข้าไปยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ส่งผลให้อาการบรรเทาลงในที่สุด แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัส ในกรณีที่มีอัตราการกลับมาเป็นซ้ำบ่อยครั้ง และไม่ควรหาซื้อยาประเภทนี้ตามร้านขายยาทั่วไป ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเท่านั้น ยานี้สามารถรับประทานพร้อมอาหาร ก่อนอาหารหรือหลังอาหาร หรือในขณะท้องว่างก็ได้ และหลังรับประทานยาให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ
การรักษาโรคนี้ โดยสรุปแล้ว นอกจากจะใช้ยาทาหรือทานยาตามสั่งจากแพทย์ คุณควรจะต้องดูแลตัวเองเบื้องต้น เพื่อให้แผลเริมบรรเทาอาการลงไปในที่สุด ได้แก่
ถาม : แผลร้อนใน กับ เริมที่ปาก แตกต่างกันอย่างไร?
ตอบ : แผลจากโรคเริมที่ปาก กับแผลร้อนใน ค่อนข้างคล้ายคลึงกันมาก เพราะเป็นแผลที่เกิดขึ้นที่ด้านในของปากได้เหมือนกัน แต่แผลร้อนในไม่ได้เป็นโรคติดต่อ เริมที่ปากจะสังเกตได้ว่ามักเกิดขึ้นบริเวณริมฝีปากและนอกปาก มีลักษณะเป็นตุ่มพองเหมือนพวงองุ่น แต่แผลร้อนในมักอยู่ด้านในริมฝีปากหรือในช่องปากเป็นส่วนใหญ่
ถาม : สามารถรักษาด้วยสมุนไพรได้หรือไม่?
ตอบ : หากไม่สามารถใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาเริมที่ปากได้ การใช้สมุนไพรที่ชื่อว่า “พญายอ” หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า เสลดพังพอนตัวเมีย ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดอาการแสบร้อน และทำให้ตุ่มใสหายไวขึ้น โดยสามารถเลือกซื้อได้ตามร้านขายยาสมุนไพรทั่วไปในรูปแบบของครีมพญายอ ซึ่งใช้ทาเฉพาะแผลเริมภายนอกริมฝีปาก ต่อเนื่องกัน 4-5 วัน เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ควรละเลยที่จะตามคำแนะนำของเภสัชกรเด็ดขาด
สรุปแล้ว “เริมที่ปาก” เป็นโรคติดต่อที่รักษาได้ ถึงแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่หากเราดูแลตัวเองให้ดี หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีเริมที่ปาก พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ ทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่เครียด อาการที่เคยเกิดก็จะทุเลาลง และอาจจะไม่กลับมาเป็นอีกเลยก็ได้ครับ
นักวิทยาศาสตร์ …
บทใหม่แห่งความร…