การ ติดเชื้อ HIV ที่หลายคนรู้จัก คือเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากไม่ทำการรักษาก็จะเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า โรคเอดส์ (AIDS) คือระยะท้ายของ การติดเชื้อhivs ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและมีโรคแทรกซ้อนได้ โดยที่เชื้อ h i v จะเข้าไปทำลายและกินเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ซีดีโฟร์ (CD4) บางคนไม่แสดงอาการใดๆ แต่จะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคลดต่ำลง และมีโอกาสติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่างๆ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ วัณโรค ปอดบวม เป็นต้น และหากไม่ได้ทำการรักษาอาจมีโอกาสทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด
ผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV ประมาณ 14-28 วัน จะมีอาการคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป หรือคล้ายกับอาการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ เป็น เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV) คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานบกพร่อง ทำให้ร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีเสี่ยงต่อการติดเชื้อและป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่ายมากกว่าคนปกติ ซึ่งเชื้อเอชไอวี (HIV) ในปัจจุบันถูกค้นพบมากกว่า 10 สายพันธุ์กระจายอยู่ทั่วโลก โดยสายพันธ์ุดั้งเดิม แบ่งตามลักษณะทางพันธุกรรมออกเป็น 2 ชนิด คือ
เชื้อเอชไอวี (HIV) จะมี p24 antigen หรือสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์สร้างภูมิคุ้มกันต้านทาน หรือ แอนติบอดี (Antibody) ต่อไวรัสนี้ และส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย หากร่างกายได้รับเชื้อเอชไอวีแล้วจะไม่สามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีออกไปได้ ซึ่งเชื้อเอชไอวีจะคงอยู่ตลอดไป
ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ประมาณ 14-28 วัน จะมีอาการคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป หรือคล้ายกับอาการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์ และจะไม่แสดงอาการอีกในระยะเวลาหลายปี เป็นช่วงที่ผู้ติดเชื้อ สามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย
หากพบว่ามีอาการดังกล่าวไม่ควรปล่อยปละละเลย ให้รีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเลือดเพื่อความแน่นอน และหากผลการตรวจพบว่ามีเชื้อไวรัสเอชไอวี จะได้ทำการรักษาและป้องกันการกระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้อย่างทันท่วงที
อาการของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ปรากฎขึ้น เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเอชไอวีแล้ว จะแบ่งได้เป็น 4 ระยะ คือ
อาจเรียกได้ว่าเป็นระยะติดเชื้อปฐมภูมิ หรือ อาการ ติด เชื้อ hiv ระยะเริ่มต้น ผู้ติดเชื้อในระยะนี้ จะแสดงอาการผิดปกติเพียงเล็กน้อย เป็นระยะที่ร่างกายเพิ่งติดเชื้อ hiv ใหม่ๆ ในระยะนี้ ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อเอชไอวีขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับเชื้อ ส่งผลให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว น้ำหนักลด หรือมีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถึงประมาณ 28 วัน แล้วหายไปได้เอง ทั้งนี้ถือเป็นระยะที่วินิจฉัยได้ค่อนข้างยาก จึงต้องใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อหา เชื้อ hiv จึงจะมีความชัดเจนมากที่สุด
หรือระยะสงบทางคลินิกตามการแพทย์นิยมเรียก ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายยังคงมีเชื้อไวรัส เอชไอวี อยู่ แต่เชื้อจะแบ่งตัวและทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวในปริมาณที่น้อยมาก ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการใดๆ ในระยะนี้ และอาจกินเวลานานหลายปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อ และสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ติดเชื้อเอง
เป็นระยะมีการติดเชื้อฉวยโอกาสอย่างรุนแรง ผู้ป่วยในระยะนี้จะแสดงอาการที่ชัดเจนมากขึ้น แต่อาการมักจะไม่มีความรุนแรง เช่น วัณโรค ปอดกำเริบ มีเชื้อราขึ้นที่ลิ้น โรคงูสวัด โรคเริม เป็นต้น โดยที่เชื้อไวรัสเอชไอวี จะแทรกตัวในต่อมน้ำเหลืองและม้าม ซึ่งจะทำระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยในระยะนี้จะไม่มี hiv อาการ ผิดปกติที่เด่นชัด
เป็นระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ติดเชื้อถูกทำลายจนอ่อนแอลงมาก ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต เนื่องจากผู้ป่วย hivอาการ แทรกซ้อนอื่นๆ ผู้ป่วยในระยะนี้จะแสดงอาการที่รุนแรงอย่างชัดเจน เช่น อ่อนเพลียมาก น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ท้องร่วงเรื้อรัง วัณโรค เชื้อราในสมอง มะเร็งบางชนิด ฯลฯ ระยะเอดส์ มักเริ่มขึ้นเมื่อจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ลดลงต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อไมโครลิตรของเลือด
“ประเด็นสำคัญ! ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในระยะที่ 1 และระยะที่ 2
ยังไม่เรียกว่าเป็นผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์“
การป้องกันการ ติดเชื้อ hiv สามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยการตระหนักและปฏิบัติตามวิธีต่างๆ ดังนี้
ในปัจจุบันเอชไอวียังไม่สามารถรักษาให้หายขาดไปจากร่างกายได้ มีเพียงการรักษาด้วยยาต้านเอชไอวี เพราะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะควบคุมเชื้อ |
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเพียงพอ |
ทานอาหารที่มีประโยชน์ เลิกบุหรี่ เลิกเหล้าเบียร์ |
การดูแลสุขภาพจิตให้ผ่องใสไม่เครียด |
กล่าวโดยสรุปคือ การ ติด เชื้อ hiv (เอชไอวี) เป็นภาวะที่สามารถจัดการได้ด้วยการรักษา การดูแล และการสนับสนุนที่เหมาะสม การตรวจพบการ ติด เชื้อ hiv ตั้งแต่เนิ่นๆ การรับประทานยาต้านไวรัสอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ การเลือกวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ และการสนับสนุนทางอารมณ์ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อ HIV ด้วยการลดการตีตรา ส่งเสริมความตระหนักรู้ และรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าล่าสุดในการรักษา อาการติดเชื้อhiv เราจะสามารถมุ่งสู่โลกที่เอชไอวีไม่ใช่โรคที่คุกคามถึงชีวิตทุกคนอีกต่อไป แต่เป็นโรคที่สามารถจัดการได้ซึ่งช่วยให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตในแบบฉบับของตนเองได้ จำไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในการเดินทางครั้งนี้ และยังมีความหวังสำหรับอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น