ถึงแม้ในปัจจุบันยังไม่มีวิธี การรักษาเอชไอวี ให้หายขาดอย่างแน่นอน แต่ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี สามารถมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยง่าย และใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปได้ ด้วยการดูแลตัวเองอย่างดี การทานยาต้านไวรัสตรงต่อเวลา ไม่ขาดยา สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญมากใน การรักษาเอชไอวี
หากคุณรู้ตัวว่าติดเชื้อเอชไอวี อย่างแรกขอให้ตั้งสติก่อน เพราะการติดเชื้อเอชไอวี ไม่ทำให้เราเสียชีวิตทันที คุณอาจรู้สึกเครียด เพราะอาจจะยังไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี แต่หากเข้าพบแพทย์เพื่อเริ่มกระบวนการรักษาโดยเร็ว แพทย์จะให้คำปรึกษาและข้อมูลเกี่ยวกับโรคอย่างครบถ้วน เมื่อรู้วิธีการรักษาและวิธีดูแลตัวเอง ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีความสุข รวมทั้งคนไทยทุกคนยังสามารถทำการรักษาเอชไอวีได้ฟรี ในโรงพยาบาลรัฐ หรือโรงพยาบาลที่มีสิทธิประกันตนอยู่ แพทย์จะทำการสั่งตรวจร่างกายเพื่อประเมินอาการทางการแพทย์ หลักๆ ดังนี้
CD4 (ซีดีโฟร์) คือ เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ปกป้องร่างกายของเราจากเชื้อโรคต่างๆ และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ เปรียบเสมือนเป็นกองกำลังทหารที่คอยกำจัดศัตรูอย่างเชื้อโรคให้ออกไปจากร่างกายของเรา เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี มันจะเข้ายึดจับและทำลาย CD4 ของเราให้ตายลงไปเรื่อยๆ และขยายไวรัสเอชไอวีออกมาจำนวนมาก เมื่อทหารเราน้อยลง ก็ทำให้พ่ายแพ้ต่อเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดโรคฉวยโอกาสได้ง่ายนั่นเอง โดยปกติของคนทั่วไป ในเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร จะมีค่า CD4 ประมาณ 500-1,200 ตัว ส่วนผู้ติดเชื้อเอชไอวี อาจมีค่า CD4 ไม่ถึง 700 ตัวต่อ 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
ปริมาณไวรัสในเลือดหรือไวรัสโหลด เป็นการหาจำนวนของเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดปริมาณ 1 มิลลิลิตร หากมีจำนวนไวรัสมากและไม่ได้รับการรักษา อวัยวะภายในร่างกายก็จะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือ อาจเกิดการกลายพันธุ์ ซึ่งทำให้เชื้อดื้อยาได้ง่าย ดังนั้นเป้าหมายของการรักษาคือจะต้องทำให้ปริมาณเชื้อไวรัสโหลดในร่างกายมีน้อยที่สุด ผู้ติดเชื้อควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับไวรัสเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคเอดส์ เพิ่มเติม เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจกับโรคมากขึ้น สามารถปฏิบัติตนตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่แพร่เชื้อให้ใคร และไม่รับเชื้อเพิ่ม
ยาต้านไวรัส หรือที่เรียกว่า ยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretroviral Therapy : ART) เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน หากผู้ติดเชื้อทานยาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสเอชไอวีได้ อีกทั้งยังลดโอกาสการเกิดเชื้อดื้อยา การเกิดโรคฉวยโอกาส และการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่ทำให้ผู้ติดเชื้อหายขาดได้ จึงจำเป็นต้องทานยาไปตลอดชีวิต ซึ่งก่อนการรับยาต้านไวรัส แพทย์จะต้องประเมินความพร้อมของผู้ติดเชื้อในการทานยาต่อเนื่องทุกวัน และสามารถเริ่มการรักษาได้ทันที ไม่ว่าจะมีค่า CD4 อยู่ในระดับใดก็ตาม
ควรมีการติดตามผลของการทานยาต้านไวรัสเป็นประจำ ได้แก่
ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี การทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยลดปัญหาผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสและให้ส่งผลดีต่อการป้องกันไวรัสเอชไอวีไม่ให้เพิ่มจำนวน
การทานยาต้านไวรัสที่ตรงต่อเวลาเป็นประจำทุกวัน เป็นการรักษาระดับยาในร่างกายให้มีปริมาณมากพอที่จะควบคุมหรือกันไว้ไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวีขยายตัวขึ้น หากทานยาต้านไม่ตรงเวลา หรือขาดยา อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล เชื้อไวรัสเอชไอวีก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ติดเชื้อป่วยได้ง่าย
หากเกิดลืมทานยาต้านไวรัสจริงๆ ให้รีบทานทันทีที่นึกได้ แต่ถ้านึกได้ว่าลืมก่อนการทานยาในครั้งถัดไปประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก็สามารถทานรวมกับยาในครั้งถัดไปได้เลย และต้องทานในปริมาณเท่าเดิม ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเป็นสองเท่า โดยเวลาในการทานยาต้านไวรัสสามารถปรับได้ตามสะดวกของการใช้ชีวิตประจำวัน และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วย ข้อเสียของการลืมทานยาต้านไวรัสบ่อยๆ จะทำให้เราดื้อยา ปริมาณไวรัสเอชไอวีก็จะไม่ลดลง หรือมีมากกว่า 1,000 ก๊อปปี้/ซีซี ถือว่าการรักษาไม่เป็นผล
ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัส อาจเกิดขึ้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน บางคนก็ไม่มีอาการใดๆ เลย ส่วนใหญ่มักจะเป็นในระยะแรกที่เริ่มทานยาใหม่ๆ และจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือนต่อมา อาการเหล่านั้น ได้แก่
อาการเหล่านี้ถือว่าเป็นอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก สามารถหายไปได้เอง แต่หากผู้ติดเชื้อที่ทานยาต้านแล้วเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น รู้สึกหายใจไม่สะดวก หายใจไม่อิ่มท้อง ชาปลายมือปลายเท้า เยื่อบุอ่อนพองบวม มีอาการเหนื่อยหอบ เกิดอาการช็อค หมดสติ ควรรีบพบแพทย์ทันที ทางที่ดี หากคุณเคยแพ้ยาชนิดใดมาก่อน ควรแจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ดูแลก่อนรับยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อวินิจฉัยการใช้ยาต้านไวรัสและติดตามอาการแพ้ของผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด
นักวิทยาศาสตร์ …
บทใหม่แห่งความร…