หูดหงอนไก่ (Genital Warts) หรือที่รู้จักกันว่า หูดอวัยวะเพศ Condylomata acuminata เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยซึ่งมีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) มีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆ ในบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก โดยมีขนาดและลักษณะแตกต่างกันไป HPV ติดต่อได้ง่ายแ ละแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก หูดเอชพีวีเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกไม่สบาย คัน และในบางกรณีอาจมีอาการเจ็บปวดเล็กน้อย หูดที่อวัยวะเพศ เป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่เพียงแต่ต่อผลกระทบทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเนื่องมาจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะในผู้หญิง การตรวจสุขภาพเป็นประจำ การปฏิบัติทางเพศอย่างปลอดภัย และการฉีดวัคซีน HPV สามารถช่วยป้องกันและจัดการหูดหงอนไก่ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความตระหนักรู้และการให้ความรู้ด้านสุขภาพทางเพศ
หูดหงอนไก่มีอาการที่ขึ้นอยู่กับผู้ติดเชื้อ หากคุณมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง โรคก็จะไม่แสดงอาการใดๆ เลย ไปจนถึงมีติ่งเนื้อ ลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำขึ้นมักมีขนาดเล็ก แต่อาจโตเป็นก้อนใหญ่ได้อย่างชัดเจนตามบริเวณอวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ หรือบริเวณง่ามขา โดยที่ผู้ป่วยหนึ่งรายอาจพบรอยโรคในหลายๆ ตำแหน่งได้ ลักษณะของรอยโรคที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น 3 กรณีหลักๆ คือ รอยโรคจะหายไปเอง รอยโรคจะอยู่เหมือนเดิม และรอยโรคจะขยายเพิ่มขึ้น ซึ่งขนาดและการเรียงตัวของหูดอาจแตกต่างกันไป ส่งผลให้ผู้ติดเชื้ออาจเกิดความสับสนเพราะมีอาการคล้ายกับโรคซิฟิลิส โรคหูดข้าวสุก หรือโรคผิวหนังชนิดอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่โรคหูดหงอนไก่จะไม่มีอาการเจ็บหรือระคายเคืองแต่อย่างใด เว้นแต่ในผู้ป่วยส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีอาการคันอย่างรุนแรง แสบร้อน มีเลือดออกจากบริเวณแผล
อาการของ หูดหงอนไก่ชายและหญิง มีความคล้ายคลึงกัน โดยทั่วไปแล้ว อาการของหูดหงอนไก่ ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งที่พบ หูดหงอนไก่ในชายและหญิง อาจแตกต่างกันเล็กน้อย โดยในชายมักพบหูดหงอนไก่บริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เส้นสองสลึง หรือรูเปิดท่อปัสสาวะ ส่วนในหญิงมักพบหูดหงอนไก่บริเวณปากช่องคลอด ปากมดลูก หรือทวารหนัก
นอกจากนี้ ผู้หญิงอาจมีอาการหูดหงอนไก่ที่ปากมดลูกได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะปากมดลูกอักเสบหรือโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ผู้ที่ติดเชื้อ HPV ชนิด 16 หรือ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดของ HPV ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อ HPV ชนิดอื่นๆ
ตารางสรุปความแตกต่างของ อาการหูดหงอนไก่ชายและหญิง
ลักษณะ | หูดหงอนไก่ชาย | หูดหงอนไก่หญิง |
---|---|---|
ตำแหน่งที่พบบ่อย | หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เส้นสองสลึง หรือรูเปิดท่อปัสสาวะ | ปากช่องคลอด ปากมดลูก หรือทวารหนัก |
อาการอื่นๆ | อาจพบเลือดออก หรือมีตกขาวผิดปกติ | อาจมีอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บบริเวณที่เป็นหูดหงอนไก่มากขึ้น ในช่วงมีประจำเดือน |
ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน | ความเสี่ยงต่อภาวะลูกอัณฑะอักเสบหรือโรคมะเร็งทวารหนัก | ความเสี่ยงต่อภาวะปากมดลูกอักเสบหรือโรคมะเร็งปากมดลูก |
โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Human Papillomavirus หรือ HPV ซึ่งในปัจจุบันพบไวรัสชนิดนี้มากกว่า 200 สายพันธุ์ย่อย โดยเชื้อที่ทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่มากถึง 90% คือสายพันธ์ุ 6 และ 11 เมื่อร่างกายของผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัส HPV เข้าร่างกาย จะใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 3 เดือนในการแบ่งตัวเข้าสู่เซลล์ชั้นล่างสุดของเยื่อบุ จนเกิดการเปลี่ยนรูปร่างเป็นติ่งเนื้องอกขึ้นมาให้เห็นได้ชัดเจน และโดยปกติแล้วผู้ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ประมาณร้อยละ 80% จะสามารถหายเองได้ภายใน 2 ปี แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอหรือส่วนน้อยของผู้ป่วยทั้งหมดที่ร่างกายจะเกิดเป็นรอยโรคเรื้อรัง
เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่มักขึ้นในบริเวณร่างกายที่มีเนื้อเยื่อเมือก เนื่องจากเป็นบริเวณที่อับชื้นและอุ่น ซึ่งผู้หญิงจะพบมากที่ปากช่องคลอด ปากมดลูก ผนังช่องคลอด ทวารหนัก รวมถึงบริเวณฝีเย็บ ส่วนในผู้ชายมักพบบริเวณใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ รูเปิดท่อปัสสาวะ เส้นสองสลึง และบริเวณรอบทวารหนักในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และตำแหน่งที่พบรอยโรคในทารกที่ผ่านการคลอดทางช่องคลอดมารดาที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ จะมีเป็นหูดหงอนไก่ที่หลอดลม อาจมีอาการเสียงแหบและเกิดการอุดกั้นของกล่องเสียงได้
การตรวจโรคหูดหงอนไก่ สามารถทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะตรวจดูลักษณะของรอยโรคหูดหงอนไก่ หากแพทย์ไม่แน่ใจว่ารอยโรคนั้นเกิดจากหูดหงอนไก่หรือไม่ แพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อรอยโรคส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
วิธีตรวจโรคหูดหงอนไก่ มีดังนี้
ผู้ป่วยโรคหูดหงอนไก่มีความเสี่ยงที่เชื้อไวรัสในร่างกาย จะพัฒนาไปสู่การเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น มะเร็งองคชาต มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งบริเวณแคมใหญ่ มะเร็งในคอหอย โดยโรคแทรกซ้อนดังกล่าวล้วนเกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ รวมถึงกรณีเพศหญิงที่มีหูดหงอนไก่ขนาดใหญ่ระหว่างการตั้งครรภ์ อาจส่งผลให้รอยแผลขัดขวางการคลอดจนแพทย์ต้องใช้วิธีการผ่าคลอดแทน
การรักษาโรคหูดหงอนไก่ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของรอยโรคหูดหงอนไก่ โดยทั่วไปแล้ว การรักษาหูดหงอนไก่มักใช้ยาทาหรือยารับประทาน การรักษาหูดหงอนไก่สามารถช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการหูดหงอนไก่ได้ แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่กลับมาอีก
นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่กลับมาอีก เช่น
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำในการป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่กลับมาอีก
การรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยยามักใช้ยาทาหรือยารับประทาน ยาที่ใช้รักษาโรคหูดหงอนไก่ ได้แก่
การรักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยการผ่าตัดมักใช้ในกรณีที่ยาทาหรือยารับประทานไม่ได้ผล หรือในกรณีที่หูดหงอนไก่มีขนาดใหญ่หรืออยู่บริเวณที่ยากต่อการรักษาด้วยยา การผ่าตัดรักษาโรคหูดหงอนไก่มีหลายวิธี เช่น
= การรักษาหูดหงอนไก่ ควรพบแพทย์เพื่อประเมินรอยโรคก่อนว่าคุณเป็นโรคนี้จริงหรือไม่ หรือหากรู้แน่นอนแล้วว่าเป็นหูดหงอนไก่ เพราะเคยรักษามาก่อน ก็ไม่ควรนำยาเดิมที่เคยได้รับจากแพทย์มาใช้ด้วยตัวเอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อไม่ทำให้แผลเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้การรักษาไม่หายขาดและลุกลามใหญ่โตได้
= โรคหูดหงอนไก่ ยังไม่สามารถเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อได้ เนื่องจาก
= หูดหงอนไก่ มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกภายในระยะเวลา 3-6 เดือนหลังจากทำการรักษาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจำนวนที่อาจเกิดซ้ำอยู่ที่ร้อยละ 40-60 เนื่องจากขั้นตอนการรักษาของผู้ติดเชื้อหูดหงอนไก่นั้นไม่สมบูรณ์ เช่น ตัวยาที่รักษาไม่มีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยมีภาวะร่างกายอ่อนแอหรือภูมิคุ้มกันต่ำ การติดเชื้อซ้ำจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก และไม่ระมัดระวังตัวเองมากพอ เป็นต้น
ปัจจุบันโรคหูดหงอนไก่ยังไม่มียาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ 100% ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ จึงต้องหลีกเลี่ยงโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ด้วยวิธีเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ป้องกันโรคด้วยการปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้
การฉีดวัคซีนป้องกันหูดหงอนไก่ หรือ วัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี จำเป็นจะต้องฉีดให้ครบจำนวนทั้งหมด 3 เข็ม เพราะทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงกว่า 80-90% ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายก่อนมะเร็ง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่ควรต้องฉีดวัคซีนนี้ ผู้ชายก็ต้องฉีดด้วยเช่นกัน ซึ่งวัคซีนสำหรับป้องกันเชื้อเอชพีวี แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
กล่าวคือ หูดหงอนไก่ซึ่งเกิดจากไวรัส HPV ที่ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นส่งผลต่อบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก หูดเหล่านี้ปรากฏเป็นการเจริญเติบโตเล็กๆ หรือเป็นกระจุก อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว และอาจทำให้เกิดอาการคันหรือเจ็บปวดเล็กน้อย เชื้อ HPV ติดต่อได้สูงผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่สวมถุงยางอนามัย ก่อให้เกิดความกังวลด้านสุขภาพอย่างมาก และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งต่างๆ เราจึงควรหันมาเน้นถึงความสำคัญของการป้องกัน และการตรวจคัดกรองทางการแพทย์เป็นประจำ การปฏิบัติทางเพศอย่างปลอดภัย รวมถึงการใช้ถุงยางอนามัยและการฉีดวัคซีน HPV เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ การส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับหูดหงอนไก่ และการให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่เชื้อจะส่งผลให้สุขภาพทางเพศดีขึ้นภายในสังคมไทยได้ในที่สุดครับ