ไวรัสตับอักเสบ จริงๆ แล้วมีต้นเหตุมาจากอาการตับอักเสบ เนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลายส่งผลให้หน้าที่การทำงานของตับ ไม่สามารถเป็นไปได้ตามปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการแปลก ๆ กับร่างกาย ถือว่าไวรัสตับอักเสบ ยังคงเป็นโรคที่บรรดาสาธารณสุข ยังคงเร่งหาวิธีแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีผู้ป่วยเกิดขึ้นอยู่ตลอด ไม่จำกัดเพศและวัย ปกติแล้วจุดเริ่มต้นมักมาจากอาการตับอักเสบเฉียบพลัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังก่อนจะลามไปเป็นมะเร็งตับและโรคตับแข็งต่อไป สำหรับอาการไวรัสตับอักเสบ ที่พบเห็นได้บ่อย จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
โดยอาการแต่ละชนิดจะมีสาเหตุ และอาการที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
ไวรัสตับอักเสบเอ มักเกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารที่มีเชื้อโรคเป็นพาหะเข้าสู่ร่างกาย โดยอาหารประเภทผักผลไม้ รวมถึงน้ำดื่มที่ไม่สะอาด ไวรัสตับอักเสบเอ มีระยะของโรคหรือระยะฟักตัวประมาณ 1 เดือนเศษๆ เมื่อได้รับเชื้อนี้เข้าไป หากเกิดขึ้นกับเด็กมักไม่ค่อยแสดงอาการให้เห็นเท่าไหร่นัก แต่ถ้าในผู้ใหญ่ จะมีอาการออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน โดยจะมีการถ่ายมาพร้อมอุจจาระนับตั้งแต่เข้าสู่ร่างกายได้ราวๆ 14 วัน มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกอย่างมาก จึงมักพบว่ามีการแพร่ระบาดได้ง่าย หากพื้นที่ไหนมีผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบเอนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล ชุมชน โรงเรียน ค่ายทหาร ฯลฯ
การรักษาไม่ได้มีอะไรมากอาจทานยาแก้ปวด หากรู้สึกปวดเมื่อย แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ควรซื้อยาทานเอง พร้อมกับพักผ่อนให้เพียงพอ อาการของโรคจะหายไปเองรวมถึงร่างกายยังจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคอีกด้วย ถือเป็นตับอักเสบที่ไม่รุนแรงมากนัก
ไวรัสตับอักเสบบี ถือเป็นโรค ไวรัสตับอักเสบ ที่คุ้นเคยกันดีเพราะมีประชากรในโลกเป็นพาหะของเชื้อชนิดนี้กว่า 200 ล้านคน แบ่งเป็นประเทศไทยราว 5 ล้านคน การตรวจว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ จะต้องตรวจผ่านการเจาะเลือด หรือน้ำเหลืองเท่านั้น การหาปริมาณไวรัสในกระแสเลือด (HBV viral load) ซึ่งจะบอกจำนวนไวรัสในกระแสเลือดว่ามีมากขนาดไหน และจะมีประโยชน์ในบางรายที่เชื้อไวรัสมีการผ่าเหล่า ทำให้เสมือนตรวจไม่พบไวรัสในกระแสเลือด แต่ตับอักเสบ การตรวจปริมาณไวรัสจะช่วยยืนยันว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบี ที่ทำให้ตับอักเสบจริง หรือการเจาะตับตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ จะมีประโยชน์ในการบอกพยาธิสภาพของตับว่ามีการอักเสบขั้นไหน ซึ่งจะทำในกรณีเตรียมการรักษา หรือวิธีการตรวจความยืดหยุ่นในตับ (Transient elastography, Fibroscan®) เป็นการตรวจหาพังผืดในตับเพื่อดูว่าอยู่ในเกณฑ์ต้องรีบรักษาหรือไม่โดยไม่ต้องเจาะตับ อย่างไรก็ตามสารคัดหลั่งในร่างกาย เช่น น้ำลาย, อสุจิ, น้ำภายในช่องคลอด, น้ำตา ก็สามารถเป็นพาหะนำโรคได้เช่นกัน
การติดเชื้อของไวรัสตับอักเสบบี ถือเป็นการติดเชื้อที่พบได้ง่าย หากไม่มีการป้องกันดูแลอันประกอบไปด้วย
ระยะการเกิดโรคราวๆ 1 – 6 เดือน มักไม่ค่อยแสดงอาการ ทว่าบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย, ท้องเสีย, มีไข้, ปวดเมื่อย, เบื่ออาหาร สามารถหายเองได้ แต่ก็ยังคงมีเชื้อในร่างกายและมีโอกาสแพร่ไปยังผู้อื่นต่อ หรือมีอาการดีซ่าน จะเริ่มสังเกตว่ามีปัสสาวะสีเข้ม และตัวเหลืองตาเหลือง หรือบางรายก็ไม่พบดีซ่านก็ได้ หลังจากอาการตัวเหลืองตาเหลืองมากถึงที่สุด อาการอ่อนเพลียจะดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหมายถึงตับเข้าสู่ระยะซ่อมแซม อาการตัวเหลืองตาเหลืองจะค่อยลดลงจนหายเป็นปกติ ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 4 – 8 สัปดาห์
หากรู้ว่าป่วยก็ให้ไปพบแพทย์พร้อมรับคำแนะนำ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ, หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อีกความอันตรายของไวรัสตับอักเสบบี คือ บางรายเชื้อจะค่อยๆ ลุกลามไปจนถึงขั้นตับอักเสบเรื้อรัง, มีอาการตับแข็งจนกลายไปสู่โรคมะเร็งตับในที่สุด ตามรายงานระบุว่า ใครที่มีพาหะของเชื้อตัวนี้ โอกาสเสี่ยงในการป่วยเป็นมะเร็งตับสูง กันเลยทีเดียว แต่ยังโชคดีที่สามารถป้องกันโรคเบื้องต้นได้ ด้วยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
ถือเป็น ไวรัสตับอักเสบ ที่พบไม่บ่อยนักราว 1 % ส่วนใหญ่สาเหตุมาจากการรับเลือดจากผู้อื่น แต่ทั้งนี้การสัมผัสกับน้ำเหลือง หรือใช้อุปกรณ์จำพวกเข็มฉีดยา, มีดโกนร่วมกันก็มีสิทธิเป็นได้ เช่นเดียวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีโดยไม่ได้ป้องกัน
การตรวจวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี ทำได้โดย การตรวจการทำงานของตับ ซึ่งบ่งถึงการอักเสบของตับ การตรวจหาหลักฐานของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี โดยการตรวจ anti – HCV หากให้ผลบวกแสดงว่ามีการติดเชื้อ และตรวจหา HCV RNA ซึ่งจะบอกถึงปริมาณไวรัสซี นอกจากนั้น การตรวจสายพันธุ์ของไวรัสจะมีความสำคัญต่อการเลือกยาและระยะเวลาในการใช้ยารักษา การตรวจพยาธิสภาพของตับ เพื่อประเมินการอักเสบและพังผืดในตับ ทำได้โดยการเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับหรือใช้เครื่องมือพิเศษสำหรับวัดปริมาณพังผืด (ความยืดหยุ่น) ในเนื้อตับ การตรวจ ultrasound และการตรวจเลือด หาสาร alpha – fetoprotein เพื่อประเมินภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับ
ระยะของอาการไวรัสตับอักเสบซีราว 2 เดือน อาจจะทำให้มีอาการตับอักเสบเฉียบพลัน และส่งผลให้มีโอกาสเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จนเข้าสู่ภาวะมะเร็งตับได้ ที่สำคัญคือยังคงไม่มีวัคซีนไวรัสตับอักเสบซีที่ได้ผลสำเร็จแต่มียาฆ่าเชื้อโดยตรงที่สามารถรับประทาน และรักษาให้หายขาดได้ภายใน 3 เดือน ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการฉีดยารักษาไวรัสตับอักเสบเป็นอย่างมาก
อาการของโรค ไวรัสตับอักเสบ อาจแตกต่างกันไปตามชนิดของไวรัส และความรุนแรงของการติดเชื้อ โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบสามารถทำได้ ดังนี้
การรักษาโรค ไวรัสตับอักเสบ ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสและความรุนแรงของการติดเชื้อ โดยทั่วไปการรักษาอาจรวมถึง การรักษาแบบประคับประคอง เช่น การพักผ่อน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ทั้งนี้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคไวรัสตับอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับได้
ไวรัสตับอักเสบ เป็นโรคที่ร้ายแรง การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และบี และการปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด หากมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่เหมาะสม
นักวิทยาศาสตร์ …
บทใหม่แห่งความร…