ยังมีคนไทยจำนวนมากที่มีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการติด เชื้อเอชไอวี (HIV) หลายคนยังคิดว่าการติดเชื้อเอชไอวีก็เท่ากับว่าคนๆ นั้นได้ติดโรคเอดส์ไปเรียบร้อยแล้ว หลายคนกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ จนทำให้ผู้ที่อยู่ร่วมกับ เชื้อเอชไอวี ถูกสังคมรังเกียจ ทว่าในความเป็นจริง หากลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี ให้มากขึ้นจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเรื่องต่างๆ หรือข้อมูลที่เคยรู้มาอาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องทั้งหมด และไม่ว่าใครก็สามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีในร่างกายได้
เชื้อเอชไอวี (HIV) มาจากคำว่า Human Immunodeficiency Virus ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสประเภทหนึ่งที่สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ แต่สำหรับโรคเอดส์ (AIDS) มาจากคำว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome อันหมายถึงผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการโดนเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ทำให้ระบบภายในร่างกายอ่อนแอลง ส่งผลให้เมื่อมีเชื้อโรคต่างๆ พยายามเข้ามาสู่ร่างกาย ร่างกายของผู้ป่วย เมื่อมีภูมิต้านทานน้อยก็ไม่สามารถต่อสู้หรือกำจัดอาการป่วยใดๆ ได้เลย จนท้ายที่สุดผู้ที่ไม่ได้ทำการรักษาก็จะเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากไวรัสเอชไอวีจากความหมายข้างต้นของทั้ง 2 สิ่งที่กล่าวมานี้จึงบอกได้ว่า โรคเอดส์ มีสาเหตุจากเชื้อเอชไอวีที่เข้ามาสู่ร่างกายบุคคลๆ นั้น แต่ในทางกลับกันผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีภายในร่างกายก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไป หากมีการดูแลร่างกายอย่างถูกต้องเหมาะสม และปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด
พื้นฐานความเข้าใจหลัก ๆ สำหรับการติดเชื้อเอชไอวีก็คือ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลาย ๆ คนโดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน, ติดจากแม่สู่ลูกตอนมีครรภ์ เป็นต้นทว่าหากอธิบายอย่างเป็นทางการ เชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อระหว่างบุคคลได้หากมีสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อในร่างกายเข้าไปสู่ร่างกายของคนปกติ เช่น เลือด, อสุจิ, ของเหลวจากช่องคลอด แม้กระทั่งนมแม่ก็สามารถติดต่อเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกได้เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีต้นเหตุมาจากการกระทำที่กล่าวเอาไว้ข้างต้นนั่นเอง แต่นอกเหนือจาก 3 ข้อนี้แล้วก็ยังมีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การใช้เข็มสัก, เข็มเจาะร่วมกัน, การได้รับเลือด เป็นต้น
ความจริงหลังจากการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยนอกจากการตรวจเลือดเท่านั้น แต่ภายในร่างกายของเราหากได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี มันจะเริ่มแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนออกมาในเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายเรียกว่า CD4 (ซีดีโฟร์) และแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ระยะแรกที่ได้รับเชื้อเอชไอวีมานี้ อาจเกิดเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากการติดเชื้อ อาจมีอาการไม่ค่อยสบายเหมือนอาการเป็นไข้หวัด มีผื่น เบื่ออาหาร มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เจ็บคอ เหงื่อออกในเวลากลางคืน เป็นแผลในปาก ในหลอดอาหาร หรืออวัยวะสืบพันธุ์ ต่อมน้ำเหลืองโต หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นกับบางคน แต่อาจจะไม่เกิดกับทุกคน
หลังจากช่วงเวลานี้ อาจจะไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาให้เห็นเลย แต่เชื้อไวรัสเอชไอวีก็ยังคงทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ง่ายมาก
มีเพียงการตรวจเท่านั้นที่จะทราบว่าผู้นั้นติดเชื้อหรือไม่ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทราบโดยเร็วว่าบุคคลผู้นั้นติดเชื้อหรือไม่เนื่องจากการรักษาสามารถป้องกันระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ให้อ่อนแอและถูกทำลายลงได้ สรุปดังนี้
ยังมีคนที่เข้าใจผิดอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวีเมื่อรู้ว่าคนรอบข้างหรือต้องอยู่ใกล้กับผู้ที่ติดเชื้อจะมีความเป็นกังวลมาก จึงอยากอธิบายให้เข้าใจว่าการติดเชื้อเอชไอวีไม่ใช่ติดกันง่าย ๆ หากไม่ได้มีการกระทำที่เสี่ยง โดยหากคุณต้องทำสิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าไม่มีทางติดได้แน่นอน
สำหรับคนที่ใช้ชีวิตเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี แต่ไม่กล้าไปตรวจเอชไอวีหากเริ่มรู้สึกว่าตนเองมีอาการเหล่านี้ก็ถือว่ามีความเสี่ยงได้
อย่างไรก็ตามผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลยและใช้ชีวิตปกติได้เป็น 10 ปี จะรู้ว่าตนเองติดเชื้อก็ต่อเมื่อมีการตรวจเลือดเท่านั้น
การป่วยเพราะติดเชื้อเอชไอวีไมได้น่ากลัวและอันตรายอย่างที่คิด หากรู้สึกว่าตนเองมีภาวะเสี่ยงแนะนำให้พบแพทย์ตรวจเลือด ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง ๆ ก็อย่าเครียด กังวลใจ เพราะโรคนี้สามารถดูแลตนเองและใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ เผลอ ๆ อาจมีชีวิตได้ยาวนานกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ
นักวิทยาศาสตร์ …
บทใหม่แห่งความร…