วันเอดส์โลก ถูกนำกลับมาพูดถึง ในทุกปีเมื่อถึงวันที่ 1 ธันวาคม วันสำคัญนี้กำหนดขึ้นมา เพื่อเป็นการรณรงค์ ยับยั้ง การแพร่เชื้อเอชไอวี ที่ยังคงมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลโดยเฉลี่ย ปี พ.ศ. 2564 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละประมาณ 16 คนต่อวันเลยทีเดียว และยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้สถานะเอชไอวีของตัวเอง ทำให้ไม่มีโอกาสเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันที เสี่ยงแพร่เชื้อให้กับคู่นอน และเสี่ยงต่อโรคร้ายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อสภาพร่างกายอ่อนแอลง
โรคเอดส์ ถูกพบอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักชาย ป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อนิวโมซีสตีส แครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่แต่เดิมเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก่อน โดยผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า เซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลัง ในปี พ.ศ. 2503 โรคเอดส์นี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตก และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันเอดส์โลก” (World AIDS Day) ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 เป็นปีแรก โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์ (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นภาวะการเจ็บป่วยที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV : Human Immunodeficiency Virus) ซึ่งเป็นไวรัสที่เข้าโจมตีระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ และลดความแข็งแรงของร่างกายที่จะต่อต้านเชื้อโรคอื่นๆ จึงทำให้ผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย และทำให้เสียชีวิตในที่สุด หากไม่ได้รับการรักษา
วิธีที่จะรู้ว่า คุณมีหรือไม่มีเชื้อเอชไอวีอยู่นั้น ไม่ใช่ดูได้จากอาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะเชื้อเอชไอวีไม่ได้ทำปฎิกิริยากับร่างกายรวดเร็ว และยังมีปัจจัยอื่นๆ ของสุขภาพแต่ละคนด้วย การที่จะรู้ว่าติดเอชไอวีได้ จำเป็นจะต้องเจาะเลือดตรวจเท่านั้น เป็นสิ่งสำคัญที่เมื่อคุณรู้ตัวเร็วเท่าไหร่ คุณก็มีโอกาสที่จะดูแลตัวเองได้ทันที ไม่ต้องรอให้เจ็บป่วยหรือมีอาการ
อาการของคนที่ติดเชื้อเอชไอวีในช่วงแรกๆ แทบจะเหมือนกับโรคอื่นทั่วไป โดยไม่สามารถระบุได้เฉพาะเจาะจงว่าอาการนี้ เป็นโรคนี้ สามารถแบ่งระยะอาการเป็น 3 ระยะด้วยกัน ดังนี้
หรือเรียกว่า “ระยะการติดเชื้อเอชไอวีแบบเฉียบพลัน” จะเกิดขึ้นในช่วงหลังจากติดเชื้อไปแล้วประมาณ 2-4 สัปดาห์ ส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย แขนขาชา ท้องเสีย มีผื่นแดง มีแผลในปาก ต่อมน้ำเหลืองโต มีเหงื่อออกมากในตอนกลางคืน เป็นผลมาจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งอาการในระยะแรกนี้สามารถหายไปได้เอง
หรือเรียกว่า “ระยะการติดเชื้อเอชไอวีแบบเรื้อรัง” จะเป็นช่วงที่แทบจะไม่มีอาการใดๆ หรือมีเพียงเล็กน้อยมาก ร่างกายจะมีการเพิ่มปริมาณของเชื้อเอชไอวีขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นไปในอัตราที่ต่ำ เรียกว่าค่อยๆ แพร่เชื้อกินภูมิคุ้มกันของร่างกายไปนานกว่า 10 ปี
หรือเรียกว่า “ระยะโรคเอดส์” เป็นช่วงที่เชื้อเอชไอวีได้พัฒนาตัวเองอย่างเต็มขั้นจนเข้าสู่ภาวะเอดส์ ผู้ป่วยจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ค่อนข้างอ่อนแอ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ เช่น มีไข้ ท้องเสียเรื้อรังติดต่อกันนานหลายสัปดาห์ น้ำหนักลด มีแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ เริมในช่องปาก งูสวัด เริ่มสูญเสียความจำ ปอดอักเสบ วัณโรค เป็นต้น
“Equalize : ทำให้เท่าเทียม”
เป้าหมายที่กำหนดขึ้น ตระหนักถึงความสำคัญของโรคเอดส์ที่ยังไม่หมดไปจากประเทศไทย
มีอยู่ด้วยกัน 3 ม. คือ ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา
ดังนั้น เพื่อประเด็นการ “ทำให้เท่าเทียม” จึงเริ่มต้นได้ที่พวกเราทุกคน โดยการไม่ตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพื่อสร้างค่านิยมให้สังคมไทยใหม่ว่า
การสนับสนุนความเท่าเทียมในการให้บริการทุกรูปแบบ ได้แก่
ในทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี ซึ่งหากพบเห็นการถูกตีตรา และเลือกปฏิบัติ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะร้องเรียนการละเมิดนี้ผ่านเว็บไซต์ Crisis response system: CRS ได้ทันที ซึ่งเป็นช่องทางการร้องเรียนที่เข้าถึงได้ง่ายผ่านออนไลน์ ลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก ส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่ถูกตีตราและเลือกปฏิบัติกล้าที่จะเรียกร้อง และมีสิทธิ์ที่จะได้รับความเท่าเทียมเหมือนกันทุกคน
การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่ากับใครก็ตาม ให้ทุกคนมองเป็นเรื่องปกติ (Normalize Condom Use) ทำการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี เพราะถือเป็นการรับผิดชอบต่อคู่นอนของตนเองและสังคม โดยทุกคนมีสิทธิ์ในการเข้าถึงถุงยางอนามัยเพื่อการป้องกัน สามารถขอถุงยางอนามัยได้ฟรีที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลรัฐ และสามารถสอบถามข้อมูลการขอรับบริการถุงยางอนามัยได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐทั่วประเทศ
ส่งเสริมการเข้าถึงชุดตรวจหาการติดเชื้อด้วยตนเอง (HIV Self-Test) โดยเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้ทุกคนได้ทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีของตนเอง สามารถเข้าถึงชุดตรวจได้ง่ายด้วยความสมัครใจ เป็นการผลักดันให้ทุกคนตรวจเอชไอวีได้ทุกที่ ทุกเวลา อย่างเท่าเทียม โดยสามารถหาซื้อชุดตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเองได้ที่ร้านขายยาทั่วไป ถึงแม้ในปัจจุบันอาจยังมีการจำหน่ายไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ และถึงแม้ทำการตรวจด้วยตัวเองแล้วพบว่ามีเชื้อเอชไอวี ควรตรวจยืนยันผลอีกครั้งที่โรงพยาบาล และต่อไปในอนาคตอาจมีชุดสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลที่คนไทยสามารถเข้าถึงชุดตรวจเอชไอวีได้ฟรี
การจัดบริการเอชไอวีโดยชุมชนในรูปแบบการให้บริการ โดยองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อส่งเสริมความ เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับเอชไอวีและเอดส์ ให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการได้ง่ายในชุมชน
วันเอดส์โลก เป็นเพียงวันหนึ่งวันที่ย้ำเตือนในทุกๆ ปี ให้ทุกคนเข้าใจเรื่องไวรัสเอชไอวี และโรคเอดส์อย่างถูกต้อง เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การนำเสนอข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ จะช่วยสร้างความเท่าเทียมกับทุกคนที่มีเชื้ออยู่ และคนที่ยังไม่มีเชื้อ มีการเข้าถึงบริการที่เกี่ยวข้องได้อย่างครอบคลุมและเหมาะสมทั่วประเทศได้ต่อไปในอนาคต
นักวิทยาศาสตร์ …
บทใหม่แห่งความร…