หากกล่าวถึง ตับอักเสบซี หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าโรคนี้เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย คนส่วนใหญ่มักจะสนใจแต่เฉพาะการติดเชื้อเอชไอวี เชื้อซิฟิลิสต่างๆ แต่ไม่ได้ระวังตัวว่าก็มีโรคไวรัสตับอักเสบซี ที่สามารถติดต่อกันได้คล้ายคลึงกับเอชไอวีเลยทีเดียว อีกทั้งโรคนี้ ยังไม่แสดงอาการ หรือมีอาการที่ไม่ชัดเจนว่าติดแล้ว นอกจากคุณจะไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสุขภาพ ถึงจะมีโอกาสรู้ตัวว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบซีเรียบร้อยแล้ว
เกิดจากการติดเชื้อ RNA ไวรัสชนิดซี (Hepatitis C) ที่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน แต่จะต้องทำการสกัดเอาสารพันธุกรรมของไวรัสตับอักเสบซีมาขยายเพิ่มจำนวนถึงจะมองเห็นได้ โดยแบ่งเชื้อไวรัสตับอักเสบซีออกเป็น 6 สายพันธุ์ ซึ่งในไทยพบสายพันธุ์ที่ 1 และ 3 มากที่สุด รองลงไปจะเป็นสายพันธุ์ที่ 2 4 5 และ 6 ตามลำดับ ผู้ติดเชื้อจะต้องทำการตรวจหาสายพันธุ์ของไวรัสตับอักเสบซีด้วย เพราะการรักษามีความแตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์
แพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ด้วยวิธี Anti-HCV หากพบเชื้อ จะเริ่มตรวจอัลตร้าซาวด์บริเวณตับเพื่อดูว่ามีแนวโน้มที่ตับจะแข็งหรือเป็นโรคมะเร็งตับหรือไม่ แต่หากผลยังไม่ชัดเจน แพทย์จะตรวจเอ็กซ์เรย์ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพิ่มเติม หรืออาจมีการตรวจชิ้นเนื้อตับเพื่อนำตัวอย่างไปตรวจดูทางพยาธิวิทยา ซึ่งเป็นการวิเคราะห์โรคไวรัสตับอักเสบซีที่มีความแม่นยำก่อนที่เริ่มกระบวนการรักษาต่อไป
ไวรัสตับอักเสบซี แพร่เชื้อได้ผ่านทางเลือด และเพศสัมพันธ์ได้ เหมือนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั่วไป รวมไปถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีเชื้อนี้อยู่ จะสามารถส่งต่อเชื้อให้ลูกน้อยในท้องได้ แต่กรณีนี้จะพบได้น้อยเนื่องจากแพทย์จะต้องทำการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบซีในกลุ่มคู่รักที่วางแผนครอบครัว หรือคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ตั้งแต่แรก ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อนี้ ได้แก่
“หากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี และปล่อยทิ้งไว้จะเข้าสู่ระยะตับแข็ง
ส่งผลให้เป็นโรคมะเร็งตับได้ในอนาคต”
อาการของไวรัสตับอักเสบซีนั้นแทบไม่แสดงให้เห็นเลย ผู้ติดเชื้อจะรู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อไปพบแพทย์และตรวจการทำงานของตับที่มีค่าผิดปกติ เพราะไวรัสตับอักเสบซีจะทำให้เซลล์ตับสูญเสียการทำงาน และ เมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จะมีระยะฟักตัวประมาณ 6-8 สัปดาห์ เชื้อมักจะพุ่งตรงเข้าไปเจริญเติบโตในตับ ซึ่งส่งผลให้มีอาการแบบเฉียบพลัน เช่น ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง และเมื่อผ่านไปประมาณ 10-30 ปีจะเข้าสู่ภาวะตับอักเสบแบบเรื้อรัง ดังต่อไปนี้
ปัจจุบัน มียาที่ใช้รับประทาน เพื่อรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีให้หายขาดได้แล้ว โดยแพทย์จะพิจารณาตามระยะของโรค รวมถึงสภาวะร่างกายต่างๆ ที่ผู้ติดเชื้อเป็นอยู่ด้วย จึงจะสามารถกำจัดเชื้อให้หายขาดไปได้อย่างถาวร ประเมินจากสายพันธุ์ และจำนวนของเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในเลือดหลังการรักษา ซึ่งจะช่วยให้อาการตับอักเสบดีขึ้น และหายไป รวมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดอาการตับแข็ง และโรคมะเร็งตับ
ไวรัสตับอักเสบซี ไม่ได้มีข้อห้ามมากมายในเรื่องของโภชนาการ แต่ผู้ป่วยควรยึดถือในเรื่องของการดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นสำคัญ โดยในระหว่างที่กำลังรักษาไวรัสตับอักเสบซี ควรปฏิบัติตัว ดังนี้
เนื่องจาก ไวรัสตับอักเสบซี ไม่ได้มีวัคซีนเหมือนกับไวรัสตับอักเสบบี เพราะฉะนั้น การป้องกันจะต้องขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงอันอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ ดังต่อไปนี้
กล่าวโดยสรุปคือ ไวรัสตับอักเสบซี เป็นภัยเงียบที่ทุกคนไม่ควรประมาท เพราะมันไม่ได้มีอาการผิดปกติใดๆ มาเตือนให้คุณรู้ตัวทันทีที่ติดเชื้อ การป้องกันไว้ย่อมดีกว่าแก้เสมอ หากตรวจเจอเชื้อไว และรีบทำการรักษาตั้งแต่ต้น จะให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง หายขาดจากโรคได้ไว และยังไม่เสี่ยงเป็นโรคตับที่รุนแรงในอนาคตได้อีกด้วยครับ
นักวิทยาศาสตร์ …
บทใหม่แห่งความร…