เชื้อ เอชไอวี (HIV) คืออะไร ?

เชื้อ เอชไอวี (HIV) คืออะไร ?

เอชไอวี ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus  แปลเป็นไทยว่า “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง โดยมีลักษณะเป็นไวรัสที่สามารถส่งต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการสัมผัสเชื้อโดยตรงผ่านสารคัดหลั่ง เช่น เลือด, น้ำอสุจิ, น้ำเหลือง, และน้ำนมแม่ 

ปกติเชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้ว จะทำการจับตัวกับเม็ดเลือดขาวและฝังตัวเองลงในเม็ดเลือดขาว จากนั้นก็ใช้สารอาหารต่าง ๆ ในเม็ดเลือดขาวเพื่อทำการแบ่งตัวลูกหลานมันออกมา และทำซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ตัวเม็ดเลือดขาวเมื่อไม่มีสารอาหารอยู่ภายในตัวก็จะค่อย ๆ ตายลงไปจนลดจำนวนลงเรื่อย ๆ และด้วยธรรมชาติของเม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่หลักคือสู้กับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย หากไม่มีเม็ดเลือดขาว ก็ไม่มีตัวสู้กับเชื้อโรค ทำให้ร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและติดเชื้อได้ง่าย ยิ่งติดเชื้อเอชไอวีไปนาน ๆ เม็ดเลือดขาวก็จะยิ่งน้อยลง ทำให้ติดเชื้อง่ายกว่าคนปกติหลายหมื่นเท่า

เมื่อเม็ดเลือดขาวลดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงเกณฑ์อันตราย คน ๆ นั้นจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นเอดส์และจำเป็นต้องเข้ารักษาอย่างเร่งด่วน จึงสรุปได้ว่าสองโรคนี้ถึงคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว เพราะต้องใช้ระยะเวลานานหลายสิบปี กว่าที่เอชไอวีจะกลายไปเป็นเอดส์

เรียนรู้เกียวกับเอชไอวี (HIV)

เอชไอวี ติดต่อทางไหนได้บ้าง?

เชื้อเอชไอวีสามารถส่งต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการสัมผัสเชื้อโดยตรงผ่านสารคัดหลั่ง เช่น เลือด, น้ำอสุจิ, น้ำเหลือง, และน้ำนมแม่ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อผ่านการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันได้อีกด้วยอาการเอชไอวี มีอาการอะไรบ้าง?

อาการเอชไอวี มีอาการอะไรบ้าง?

ด้วยธรรมชาติของเชื้อเอชไอวีที่เข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาวในร่างกายคนอย่างช้า ๆ ทำให้อาการของเอชไอวีเกิดขึ้นได้ยากเพราะร่างกายมนุษย์ตราบใดที่เม็ดเลือดขาวยังมีปริมาณที่พอเหมาะก็ยังสามารถต้านเชื้อโรคได้ปกติ แต่ในบางกรณีพิเศษ เช่น คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก่อนแล้ว หรือ คนที่ทานยาเพื่อลดภูมิคุ้มกันจะมีแนวโน้มที่ก่อให้เกิดอาการต่างๆ ของโรคเอชไอวีเฉียบพลันได้ เช่น

  • มีไข้
  • อ่อนเพลีย
  • เจ็บคอ คออักเสบ
  • ปวดศีรษะ
  • มีผื่นคล้ายหัด
  • ปวดตามข้อ
  • มีแผลในช่องปาก อวัยวะเพศ หรือ ทวารหนัก
  • ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ท้องเสีย ถ่ายเหลว
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • คอแข็ง (ไม่สามารถก้มคอลงมาชิดหน้าอกได้)

หากราที่มีอาการดังกล่าวร่วมกันอย่างน้อยสามอาการขึ้นไป สามารถเข้าตรวจเลือดดูผลเอชไอวีได้ตามสถานพยาบาลทั่วไป แต่ทั้งนี้มีโอกาสน้อยมากที่คนร่างกายแข็งแรงดีจะมีอาการเหมือนอย่างที่กล่าวข้างต้น นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นที่อาจพบร่วมกันผู้มีเชื้อเอชไอวีก็คือผื่น PPE (Pruritic Papular Eruption) แต่อาการนี้ส่วนมากจะเป็นในกรณีโรคเอชไอวีระยะสุดท้าย หรือคนที่เป็นเอดส์แล้ว

การป้องกันเอชไอวี?

เอชไอวีเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ฉะนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพราะถุงยางอนามัยจะสามารถป้องกันโรคติดต่อได้เกือบทุกชนิดทั้งยังสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย วิธีป้องกันอีกแบบหนึ่งคือการทานยาที่เรียกว่า PrEP ซึ่งจะเป็นยาที่ทานดักไว้ก่อนการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี แต่ยา PrEP นี้จะสามารถป้องกันได้แค่โรคเอชไอวีเท่านั้น หากอยากป้องกันให้ครบถ้วนก็ควรใช้ถุงยางอนามัยอยู่ดี​

จะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นเอชไอวี

เชื้อเอชไอวีสามารถพบได้ด้วยการตรวจเลือดที่ถือเป็นวิธีเดียวที่จะรู้ได้ว่าเรามีเชื้อหรือไม่ เพราะเอชไอวีปกติแล้วจะไม่แสดงอาการใด ๆ เลยทำให้หลายคนไม่รู้ตัวและเพิ่งรู้เมื่อถึงระยะอันตรายแล้ว ฉะนั้นสำหรับใครรู้ว่าเคยไปมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันมาก่อนก็ควรไปตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีไว้จะดีที่สุด​

การตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีสามารถทำได้ที่โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลส่วนมากก็สามารถรักษาโรคเอชไอวีได้ด้วย ทางเลือกอื่นนอกจากโรงพยาบาลจะเป็นคลินิกเฉพาะทางด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย

บทความเกี่ยวกับเอชไอวี

การรักษาเอชไอวี (HIV)

รักษาเอชไอวีได้ไหม? อย่างที่หลายคนรู้กันดีคือเอชไอวีนั้นรักษาไม่หาย ที่ไม่หายเพราะการรักษาทุกวันนี้ทำได้แค่รักษาระดับในร่างกายเท่านั้น แต่เชื้อเอชไอวีสามารถแพร่เชื้อไปได้ถึงระดับดีเอ็นเอ ทำให้ยารักษาไม่หายขาด สิ่งที่ทำได้หากเป็นแล้วคือการกินยาไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะมีวิธีรักษาแบบที่สะดวกกว่าในอนาคต

สรุป

แต่ข่าวดีก็คือ คนที่ทานยาอย่างสม่ำเสมอไปเรื่อย ๆ จะทำให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดหายไปเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ตรวจไม่พบ ทำให้คนกลุ่มนี้จะไม่สามารถส่งต่อเอชไอวีได้อีกถ้าไม่ขาดยาเลย นอกจากนี้ยาต้านเอชไอวีจะทำให้คนมีเชื้อสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานไม่ต่างกับคนทั่วไปเลย ถึงแม้ปัจจุบันจะเป็นปี 2020 แล้ว แต่ยารักษาโรคเอชไอวีให้หายขาดก็ยังไม่ถูกคิดค้นออกมา แต่ขอให้ทุกคนมีความหวังไว้เพราะว่าหากเปรียบเทียบกันในอดีตที่ทำได้เพียงรักษาตามอาการ ปัจจุบันเรามียาที่สามารถกดเชื้อจนตรวจไม่เจอได้แล้ว ทั้งยังมียาต้านฉุกเฉินสำหรับคนเพิ่งมีความเสี่ยงอีก ในอนาคตเทคโนโลยีการแพทย์จะต้องพัฒนาไปอีกแน่นอนและไม่แน่ว่าอนาคตอันใกล้อาจจะมีวิธีการรักษาเอชไอวีที่ทุกคนเข้าถึงได้มาให้เห็นก็ได้