หูด คืออะไร อาการ สาเหตุของการติดเชื้อ
หูด หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Warts คือ ภาวะผิวหนังทั่วไป ที่ส่งผลกระทบต่อคนในทุกกลุ่มอายุ หูดเปรียบดั่งการเจริญเติบโตของผิวหนังที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อ Human Papillomavirus (HPV) โดยแสดงออกมาในรูปแบบและตำแหน่งต่างๆ ในร่างกาย หูดเหล่านี้ มักจะทำให้ผู้ที่เป็นเกิดความกังวลในภาพลักษณ์ภายนอก ที่ไม่น่าดูและบางครั้งก็ทำให้รู้สึกไม่สบาย และเกิดอาการอื่นๆ หากมีการทำความเข้าใจ โรคหูด สาเหตุ อาการ และทางเลือกในการใช้ ยา รักษา หูด ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการจัดการ และป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพ
หูด คืออะไร มีสาเหตุมาจาก
โรคหูด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Human papilllomavirus หรือเอชพีวี (HPV) ที่มีมากกว่า 100 ชนิดที่ภายในชั้นผิวหนังกำพร้า ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตราย แต่บางสายพันธุ์ก็สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อ เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งทวารหนัก หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยหูดสามารถติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการจูบ การสัมผัส การมีเพศสัมพันธ์ และอาจพบในเด็ก หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำได้ด้วย โดยเมื่อเชื้อไวรัส HPV เข้าสู่ร่างกาย จะไปกระตุ้นให้มีการแบ่งตัวของเซลล์จำนวนมาก จนเกิดเป็นตุ่มแข็งที่บริเวณผิวหนัง สามารถเกิดได้หลายที่ในร่างกายมนุษย์ เนื่องจากหูดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงสามารถหายไปเองโดยไม่ได้รับการรักษา แต่หูดบางชนิดอาจคงอยู่นานหลายปี และใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-6 เดือน
หูด มีทั้งหมดกี่ชนิด?
หูดสามารถแสดงอาการออกมาในรูปแบบต่างๆ และถูกตั้งชื่อตามรูปลักษณ์ และส่วนของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งหูดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ ตามบริเวณที่พบในร่างกาย ได้แก่
หูดที่ผิวหนัง (Skin Warts)
หูดที่ผิวหนัง พบได้ทั่วไปตามผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย แต่พบบ่อยบริเวณมือ นิ้วมือ ฝ่ามือ เท้า หัวเข่า ข้อศอก และใบหน้า เป็นต้น โดยหูดชนิดนี้ จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งบนผิวหนัง ที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวีซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ สามารถแบ่งออกเป็นโรคหูดต่างๆ ดังนี้
- หูดธรรมดา (Common Wart)
- หูดธรรมดาเกิดจากเชื้อเอชพีวีชนิดที่ 2 และ 4 มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็ง รูปร่างกลม ไม่สม่ำเสมอ ผิวขรุขระ มีขนาดเล็ก ประมาณ 1-10 มิลลิเมตร สีเหมือนผิวหนังหรือสีเทา สีน้ำตาล สีดำ ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งและไม่เป็นอันตราย แต่อาจสร้างความรำคาญและอาจทำให้รู้สึกไม่สบาย หรือกังวลเรื่องความสวยงามแก่บุคคลนั้น เพราะมักพบที่มือและเท้า แต่อาจพบที่บริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้ เช่น ใบหน้า ศีรษะ คอ ศอก เข่า บางครั้งอาจพบเป็นหูดหลายๆ ตุ่มรวมกันเป็นกลุ่ม สามารถติดต่อกันได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังที่มีหูด หรือผ่านของใช้ส่วนตัวที่ปนเปื้อนเชื้อหูด เช่น ผ้าเช็ดตัว รองเท้า มีดโกน
- หูดผิวเรียบ (Flat Wart)
- หูดผิวเรียบเกิดจากเชื้อเอชพีวีชนิดที่ 3 และ 10 มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก ประมาณ 1-5 มิลลิเมตร ผิวเรียบ เป็นกลุ่ม มักพบที่ใบหน้า คอ แขน และหลังมือ ไม่มีอาการเจ็บปวด หากกดแล้วไม่บุ๋ม
- หูดฝ่ามือฝ่าเท้า (Plantar Wart)
- หูดฝ่ามือฝ่าเท้า เกิดจากเชื้อเอชพีวีชนิดที่ 1 และ 2
- มีลักษณะเป็นปื้นหนา แข็ง ฝังอยู่ในเนื้อ สีค่อนข้างเหลือง เมื่อยืนเดินลงน้ำหนักหรือกดทับจะเจ็บ
- หูดหงอนไก่ (Genital Wart) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสูงคล้ายหงอนไก่ พบบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก และขาหนีบ
- หูดที่มีลักษณะคล้ายนิ้วมือ (Filiform Wart) มีลักษณะเป็นตุ่มขรุขระ แต่ยาวคล้ายนิ้วมือเล็กๆ มักพบบริเวณใบหน้า และลำคอ
หูดที่เยื่อบุ (Mucosal Warts)
พบได้บริเวณเยื่อบุอ่อน เช่น เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุทวารหนัก และเยื่อบุอวัยวะเพศ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย ได้แก่
- หูดข้าวสุก (Filiform Wart) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ ผิวเรียบ มักพบบริเวณริมฝีปาก ริมฝีปากช่องคลอด และองคชาต
- หูดร่องปาก (Fissured Wart) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ ผิวขรุขระ มักพบบริเวณเพดานปากและกระพุ้งแก้ม
หูดสามารถติดต่อกันได้ผ่านการสัมผัสกับผิวหนังที่ติดเชื้อโดยตรงหรือโดยอ้อม ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผิวหนังที่ติดเชื้อหรือพื้นผิวหรือวัตถุที่มีเชื้อหูดอยู่
อาการหูด
วิธีรักษา หูด
โดยทั่วไปแล้ว หูดสามารถหายได้ด้วยตัวมันเองภายใน 2-3 ปี จากระบบภูมิคุ้นกันของร่างกายของแต่ละคน แต่หากหูดมีขนาดใหญ่ หรือมีหลายก้อน สร้างความรำคาญใจ ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยวิธีรักษาหูด มีดังนี้
- การรักษาด้วยยา
- ยาทาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก กรดแลคติก หรือกรดไตรคลออะซิติก จะช่วยละลายผิวหนังที่ตายแล้วและทำลายเชื้อไวรัส HPV ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 2-3 สัปดาห์
- ยาฉีดที่มีส่วนผสมของอิมิควิโมเด (imiquimod) จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้กำจัดหูด ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 4-12 สัปดาห์
- การรักษาด้วยวิธีอื่น
- การจี้ด้วยไนโตรเจนเหลว (cryotherapy) เป็นการจี้หูดด้วยไนโตรเจนเหลวซึ่งมีอุณหภูมิต่ำมาก ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 1-3 ครั้ง
- การจี้ด้วยไฟฟ้า (electrocautery) เป็นการจี้หูดด้วยกระแสไฟฟ้า ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 1-3 ครั้ง
- การผ่าตัด (surgery) เป็นการเอาหูดออกด้วยมีดหรือเลเซอร์ ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 1 ครั้ง
ระยะเวลาในการหายขาดของหูด ขึ้นอยู่กับชนิดของหูด ตำแหน่งของหูด และวิธีการรักษาที่ใช้ โดยทั่วไปแล้ว หูดที่รักษาด้วยยา จะใช้เวลานานกว่าหูดที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆ
วิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคหูด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนที่เป็นหูด แนะนำควรแยกของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าขนหนู เสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า ถุงมือ กรรไกรตัดเล็บ มีดโกน ฯลฯ
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำเท้าเปล่าในสระว่ายน้ำสาธารณะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหูดที่เท้า โดยการสวมใส่รองเท้าในขณะอาบน้ำหรือรองเท้าแตะแบบหนีบอยู่เสมอ
- ห้ามใช้ที่ตัดเล็ก หรือเฉือนหูดร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการทำเล็บในร้านที่ไม่สะอาด หรือตัดผมแบบที่มีการโกนขนหรือหนวดที่ต้องใช้ร่วมกัน
- มีการป้องกันโดยใช้ถุงยา เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหูดกับผู้ที่เป็นหูดโดยตรง

วิธีรักษาหูดด้วยสมุนไพร
- ใบโหระพา มีสารเคมีชนิดหนึ่งที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ HPV ได้ เพียงนำใบโหระพาสดมาบดให้ละเอียดแล้วพอกตรงบริเวณที่เป็นหูด จากนั้นแปะด้วยพลาสเตอร์ชนิดกันน้ำ เปลี่ยนโหระพาทุกวัน จะเห็นผลภายในหนึ่งอาทิตย์
- น้ำมันละหุ่ง หากเป็นหูดเรียบ ที่มีขนาดเล็ก เพียงทาน้ำมันละหุ่ง 2-3 ครั้ง เพราะน้ำมันละหุ่งมีฤทธิ์เป็นกรดช่วยกัดเนื้อหูดให้หลุดออกไปได้
- กระเทียม ฝานบางๆ นำมาแปะทับบนหูด และปิดด้วยพลาสเตอร์ยาแน่นๆ ทำเช่นนี้ทุกวัน หูดจะหลุดในที่สุด แต่อาจจะใช้เวลาค่อนข้างนาน
อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ หูด
- เชื้อหูดหงอนไก่ รักษาเองได้หรือไม่?
- โรคหูดข้าวสุก โรคติดต่อทางผิวหนัง
- โรคฝีที่ทวารหนัก อาจไม่คุ้นหู แต่ติดผ่านเพศสัมพันธ์ได้
โดยสรุปแล้ว หูดแม้เป็นโรคที่ไม่อันตราย แต่เชื้อไวรัสเอชพีวี Human Papilloma ( HPV ) บางสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศหญิง ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หากคุณสงสัยว่าเป็นหูดหรือไม่ควรสังเกตลักษณะของหูดที่เกิดขึ้น สามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่บทความนี้แนะนำข้างต้น
