โรคฝีดาษวานร

คำแนะนำโรคฝีดาษวานรสำหรับผู้เดินทางไปต่างประเทศ

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคฝีดาษวานร

สาเหตุและการติดต่อ

โรคฝีดาษวานรเกิดจากเชื้อไวรัส Monkeypox ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับไวรัสที่ก่อโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ (Smallpox) แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า เดิมทีโรคนี้ติดต่อจากสัตว์มาสู่คน โดยพบได้ในสัตว์ฟันแทะหลายชนิด เช่น หนู กระรอก และสัตว์ตระกูลลิง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่ามีการติดต่อจากคนสู่คนด้วย

การติดต่อสามารถเกิดขึ้นได้หลายทาง

  • จากสัตว์สู่คน: ผ่านการสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หรือบาดแผลของสัตว์ที่ติดเชื้อ รวมถึงการบริโภคเนื้อสัตว์ติดเชื้อที่ปรุงไม่สุก
  • จากคนสู่คน: ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่ง สัมผัสรอยโรค หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ติดเชื้อ
  • ผ่านทางละอองฝอย: จากการหายใจ แต่ต้องเป็นการสัมผัสใกล้ชิดเป็นเวลานาน

อาการและระยะการดำเนินโรค

หลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายในเวลา 5 – 21 วัน โดยแบ่งเป็นสองระยะ

ระยะที่ 1: ระยะไข้ (ประมาณ 1-3 วัน)

  • มีไข้
  • ปวดศีรษะรุนแรง
  • ปวดเมื่อยตามตัว
  • ต่อมน้ำเหลืองโต (เป็นลักษณะเด่นที่แยกจากโรคไข้ออกผื่นชนิดอื่น)
  • บางรายอาจมีอาการไอ เจ็บคอ

ระยะที่ 2: ระยะออกผื่น (เริ่มหลังมีไข้ 1-3 วัน)

ผื่นจะมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับดังนี้

  1. ผื่นแดงราบ
  2. ผื่นแดงนูน
  3. ตุ่มน้ำ
  4. ตุ่มหนอง
  5. ตกสะเก็ดและหลุดลอกออก

ผื่นมักพบมากบริเวณ

  • ใบหน้า
  • แขนและขา
  • ฝ่ามือและฝ่าเท้า
  • บางรายอาจพบที่เยื่อบุช่องปาก อวัยวะเพศ และเยื่อบุตา

การแพร่เชื้อ

ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เริ่มมีอาการไข้ แต่จะแพร่เชื้อได้มากที่สุดในช่วงที่มีผื่นขึ้นจนกระทั่งสะเก็ดหลุดลอกออกทั้งหมด

การรักษาและความรุนแรงของโรค

  • โดยทั่วไป โรคฝีดาษวานรจะหายได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์
  • อัตราการเสียชีวิตในคนทั่วไปอยู่ที่ 3-6%
  • ผู้ป่วยเด็กมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ใหญ่
  • ผู้ป่วยที่อายุน้อยหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจมีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น:
  • การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
  • ปอดอักเสบ
  • สมองอักเสบ
  • ติดเชื้อในกระแสเลือด
  • ติดเชื้อในกระจกตา ซึ่งอาจส่งผลต่อการมองเห็น

การป้องกันโรคฝีดาษวานร

วัคซีน

  • ในอดีต มีการนำวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษมาใช้ในการป้องกันโรคฝีดาษวานร
  • ปัจจุบัน วัคซีนเฉพาะสำหรับโรคฝีดาษวานร

การป้องกันตนเอง

  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หรือเครื่องนอน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดโรค
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่อาจเป็นพาหะนำโรค โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาด
  • ไม่รับประทานอาหารจากเนื้อสัตว์ปรุงไม่สุก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาด

คำแนะนำสำหรับผู้เดินทางไปพื้นที่ระบาด

ก่อนการเดินทาง

  • ศึกษาข้อมูลสถานการณ์การระบาดในพื้นที่ที่จะเดินทางไป
  • เตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์
  • ปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ระหว่างการเดินทาง

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่อาจเป็นพาหะนำโรค โดยเฉพาะสัตว์ป่าหรือสัตว์ที่ป่วย
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือผู้ที่มีอาการคล้ายโรคฝีดาษวานร
  • รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
  • ติดตามสถานการณ์การระบาดในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
  • หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมากในพื้นที่เสี่ยง
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกเท่านั้น

การเฝ้าระวังอาการ

  • สังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิดขณะอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
  • ติดตามอาการต่อเนื่องเป็นเวลา 21 วันหลังออกจากพื้นที่เสี่ยง
  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น ไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต หรือมีผื่นขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
  • แจ้งประวัติการเดินทางและการสัมผัสโรคแก่แพทย์ผู้ตรวจรักษา

มาตรการสำหรับผู้เดินทางกลับจากประเทศที่มีการระบาด

  • ผู้เดินทางจะได้รับการคัดกรองอาการและประวัติเสี่ยง ณ จุดคัดกรองเมื่อเดินทางเข้าประเทศ
  • หากมีประวัติสัมผัสสัตว์นำโรคหรือผู้ป่วยยืนยัน ให้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศทันที
  • รายงานอาการของตนเองอย่างสม่ำเสมอแก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นเวลา 21 วัน หากมีประวัติเสี่ยง
  • หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่และไปพบแพทย์ทันที
  • ในกรณีที่พบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษวานรในเที่ยวบิน จะมีการติดตามผู้ที่นั่งใกล้หรือสัมผัสกับผู้ป่วยในเที่ยวบินนั้นๆ เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด

โดยสรุป การป้องกันตนเอง การรักษาสุขอนามัย และการเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคฝีดาษวานร การปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายของโรค หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

เอกสารอ้างอิง

Love Foundation