FAQ

คำถาม เอชไอวี เอดส์ PrEP เป๊ป

ไม่ได้ เอชไอวีไม่สามารถติดโดยการกอดและการจูบได้ เพราะการกอดหรือจูบไม่สามารถทำให้สารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายของผู้ติดเชื้อได้

ไม่ติด หากผู้กระทำ(คนโมก คนอม) ไม่มีแผลในช่องปากหรือลำคอ แต่ว่ามีความเสี่ยงสูงเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น หนองใน ซิฟิลิส เริมได้

คือช่วงเวลาที่ยังอาจตรวจไม่พบการติดเชื้อ คือ โดยทั่วไป การตรวจเลือดไม่ได้ใช้วิธีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยตรง แต่เป็นการตรวจหาสารภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น หรือ “แอนติบอดี้” ถ้าเราได้รับเชื้อเอชไอวีจริง ร่างกายจะค่อยๆ สร้างสารชนิดนี้ออกมาเพื่อต่อต้านหรือกำจัดเชื้อเอชไอวี

ซึ่งโดยปกติร่างกายจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนในการสร้างแอนติบอดี้ จนมีปริมาณมากพอที่จะตรวจพบการติดเชื้อฯ จึงจะให้ผลเป็นบวก แต่ถ้าเราประเมินความเสี่ยงครั้งสุดท้ายผิดพลาด ก็จะทำให้การนับระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน ผลอาจออกมาเป็นลบ แม้ว่าร่างกายจะมีเชื้อเอชไอวีอยู่ก็ตาม

PrEP เป็นชื่อย่อของ PreExposure Prophylaxis คือการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี ก่อนมีการสัมผัส โดยการรับประทานยาวันละหนึ่งเม็ดทุกวัน ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ และใช้ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง

การตรวจ ในประเทศไทย ปัจจุบันมี 3 วิธี

1.Antibody เป็นวิธีตรวจหาภูมิคุ้มเคยต่อเชื้อ สามารถตรวจได้หลังมีความเสี่ยงตั้งแต่ 2 สัปดาห์เป็นต้นไป โดยตรวจด้วยชุดตรวจ forth generation ซึ่งสามารถตรวจหาได้ทั้งตรวจหาภูมิคุ้นเคย (Antibody) และการตรวจหาชิ้นส่วนของเชื้อ (Antigen)

2.NAT เป็นบริการเสริมที่ใช้ตรวจร่วมกับการตรวจ Antibody โดยตรวจหาสายพันธุกรรมของเชื้อ HIV สามารถตรวจได้หลังมีความเสี่ยง 5 วันขึ้นไป

3.PCR เป็นการวิธีตรวจหาสารพันธุกรรมในตัวเชื้อเอชไอวี สามารตรวจได้หลังมีความเสี่ยงตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป

* ทุกคนที่มีหรือเคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ทั้งเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย-ชาย หญิง-หญิง หรือชาย-หญิง


* ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ


* ผู้ที่ มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อเอชไอวี หรือ มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ฉีดยาเสพติดเข้าเส้น


* ผู้ที่เคยตรวจพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์


* ผู้ที่ฉีดยาเสพติดด้วยการฉีดยาเข้าเส้น

“ไม่ใช่” ผู้มีเชื้อเอชไอวีกับผู้ป่วยเอดส์แตกต่างกัน ผู้ป่วยเอดส์จะต้องมีอาการแสดงของโรคเอดส์และได้รับการวินิจฉัยจากหมอแล้ว สำหรับผู้มีเชื้อ บางคนอาจกินยาต้านไวรัส บางคนอาจไม่ต้องกินเพราะ CD4 ยังสูงอยู่

การกลืนน้ำอสุจิ ไม่เสี่ยงแน่นอน เพราะในกระเพาะอาหารเรานั้นมีกรดที่สามารถฆ่าเชื้อ HIV ได้ แต่ต้องมั่นใจว่าในช่องปากเราไม่มีแผลและสะอาด ถ้าหากไม่แน่ใจควรไปตรวจที่โรงพยาบาล เพื่อปกป้องได้ทันทวงที

PEP ย่อมาจาก Post -Exposure Prophylaxis คือ ยาต้านไวรัส ที่จ่ายให้ทันทีที่คนไข้เพิ่งไปสัมผัสเชื้อเอชไอวีมา เหตุผลที่ต้องทานยานี้ให้เร็วที่สุด ก็เพื่อให้ยาเข้าไปต่อสู้กับเชื้อไวรัส และให้คนไข้สร้างระบบภูมิคุ้มกันที่จะสามารถป้องกัน เอชไอวี ก่อนที่เชื้อจะแพร่ในคนนั้นๆ ดังนั้น การทานยา เป๊ป จึงจำเป็นต้องทานให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ภายในเวลา 72 ชั่วโมง หลังจากสัมผัสเชื้อมา

สามารถจัดการได้ โดย – รีบพบแพทย์ รู้เร็ว รักษาเร็ว สุขภาพแข็งแรง ชีวิตยืนยาว การรีบพบแพทย์จะทำให้เราเข้าถึงการดูแลรักษาได้เร็วขึ้นและเข้าถึงยาต้านไวรัสได้เร็วขึ้น – หากลุ่มช่วยเหลือด้านจิตใจ ทุกวันนี้มีหน่วยงานและกลุ่มอาสาสมัครที่ช่วยเหลือด้านจิตสังคมมากมาย อีกทั้งยังให้คำแนะนำเรื่องการเข้าถึงยาต้านไวรัส – ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องเอชไอวีและการอยู่ร่วมกับเชื้อ การได้ทราบข้อมูลที่มีประโยชน์จะช่วยคลายกังวลได้มาก หากเพื่อนไม่มีเน็ตก็สามารถสอบถามไปยังองค์กรที่ช่วยเหลือ (โทร. 1663) ได้ – ดูแลสุขภาพตัวเอง ไม่รับเชื้อเพิ่ม ไม่แพร่เชื้อ อย่าลืมว่าผู้มีเชื้อคนอื่นอาจมีเชื้อดื้อยา หากรับเชื้อมาอาจทำให้เราดื้อยาต้านไวรัส หรือเราอาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก็ได้ ดังนั้นต้องใช้ถุงยางทุกครั้งกับทุกคน

ไม่เสี่ยง แต่ถ้ามีดโกนมีเลือดติดอยู่เต็มมีดแล้วนำมาใช้ต่อทันทีและเกิดบาดมีแผลเลือดออกก็อาจมีโอกาสเสี่ยง.

คือ..ผลปกติไม่ติดเชื้อ.

ตรวจเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือถ้าไม่มั่นใจในคู่ของคุณก็ควรตรวจทันที หรือตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง

ระยะฟักตัวของเชื้อเอชไอวี แต่ยังตรวจไม่พบ ทำให้ช่ไม่สามารถตรวจเจอเชื้อได้ จะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือน

ทั้งสองแบบความแม่นยำไม่แตกต่างกันมาก จะต่างกันตรงที่ Anti-HIV สามารถตรวจได้หลังเสี่ยง 14 วันขึ้นไป ส่วน NAT สามารถตรวจได้หลังเสี่ยง 7 วันขึ้นไป

ในปัจจุบันยาต้านไวรัส HIVที่ใช้กันนั้น มี 6 กลุ่ม


Nucleoside/Nucleotide Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs)


Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs)


Protease Inhibitors (PIs)


Entry Inhibitors


Integrase Inhibitors


Multi-Class Combinations

เนื่องจากยาต้านไวรัสเอชไอวีถือเป็นยาที่ค่อนข้างแรง ทำให้บางรายที่รับไปทานอาจมีผลข้างเคียงในช่วงเริ่มทานได้ อาการทั่วไปที่เกิดขึ้นได้จะมีดังนี้


– อาการท้องเสีย


– วิงเวียนศรีษะ


– ปวดหัว


– คลื่นไส้


– รู้สึกอ่อนแรง

CD4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells คือเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ควบคุมและต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ มีหน้าที่ในการสร้างสารภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค แบคทีเรีย
เชื้อรา และ ไวรัส โดยคนปกติปกติค่า CD4 จะอยู่ระหว่าง 500–1,500 ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร

CD4 ที่ระดับน้อยกว่า 200 ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาสเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเข้าสู่สภาวะเอดส์ AIDS ได้ ซึ่งรุนแรงจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

เอชไอวีและเอดส์ มีผู้คนมากมายที่ยังเข้าใจผิดและยังไม่ทราบว่าสองสิ่งนี้มีความแตกต่างกันอยู่ ไวรัสเอชไอวีเป็นเชื้อไวรัสที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนเราแล้ว มันจะมุ่งไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์ที่เป็นเป้าหมายหลักโดยตรงของไวรัสเอชไอวี คือ เม็ดเลือดขาวลิมโฟซัยท์ (Lymphocyte) ทีเซลล์ (T-cell) ชนิด ซีดี 4 (CD4) ซึ่งเม็ดเลือดขาวในร่างกายทำหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วนำไปทำลาย เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย จึงทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวี มีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนในที่สุดร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคภายนอก

โดยโรคเอดส์ เป็นเพียงระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ดังนั้น เอชไอวีและเอดส์ จึงไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

ไม่ใช่ทุกคนที่แสดงอาการของโรคซิฟิลิสทันที ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ความแข็งแรงและโอกาสเสี่ยงที่มีบ่อยหรือไม่ เพราะเมื่อคนเราได้รับเชื้อไปแล้ว อาจอยู่ในระยะแฝงตัวได้นานหลายปี ทางที่ดีเมื่อรู้ว่าเสี่ยงให้รีบตรวจและรีบรักษา

– งดมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการรักษา


– เข้ารับการรักษาตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด


– หมั่นรักษาสุขอนามัยร่างกายและบริเวณที่พบรอยโรค


– หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น


– หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น สูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอ


– ควรรีบพบแพทย์ทันที หากมีอาการผิดปกติ หรือ มีอาการรุนแรงมากขึ้น


– ควรให้คู่นอนทำการตรวจรักษาร่วมด้วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

วิธีการป้องกันการติดเชื้อหนองในเทียมที่ได้ผลดีที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

ไม่จริง เพราะการสวมถุงยางอนามัยสองชั้น อาจจะทำให้เกิดการเสียดสีของถุงยางอนามัยแต่ละชั้นไปมา ขณะที่กำลังมีเพศสัมพันธ์อยู่ กลายเป็นเพิ่มโอกาสทำให้ถุงยางอนามัยแตกหรือรั่วซึมได้ ซึ่งจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้มากขึ้น ดังนั้นควรสวมถุงยางอนามัยเพียงชั้นเดียวเท่านั้น

ราคาค่าบริการตรวจหาเชื้อเอชไอวีในปัจจุบันนั้น สามารถเข้ารับการตรวจฟรีในโรงพยาบาลรัฐ หรือสถานพยาบาลภายใต้ระบบประกันสุขภาพ หรือโรงพยาบาลเอกชน ศูนย์สุขภาพ แล็ปตรวจโรค คลินิกพิเศษ รวมถึงคลีนิคนิรนามตามจังหวัดต่างๆโดยราคาในการตรวจจะเริ่มตั้งแต่ 200 – 1,500 บาท ทั้งนี้ควรสอบถามสถานพยาบาลนั้นๆเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องก่อนเข้ารับบริการ